รายการบล็อกของฉัน

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เพลงของคนโง่ - Sweet Mullet

เทคนิคสร้างสมาธิในการเรียน


เทคนิคสร้างสมาธิในการเรียน
บอกลาอาการง่วง ซึมเซา วอกแวก ฟุ้งซ่าน ด้วยวิธีเสริมสร้าง “สมาธิ” อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยหลักปฏิบัติง่าย ๆ 5 ข้อ
วัย เรียนหลายคนที่มักเผชิญปัญหาสมาธิสั้น หรือบ่อยครั้งจดจ่อกับกิจกรรมเป็นบางเรื่อง แต่ก็เพียงระยะเวลาไม่นานนัก นั่นเป็นเพราะน้อง ๆ อาจละเลยความสมดุลของตารางกิจวัตรประจำวันไป จนส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ และจดจำ อย่างไรก็ตาม ภาวะดังกล่าวปรับแก้ได้ด้วย 5 วิธีสร้างสมาธิง่าย ๆ ดังนี้
 เริ่มจาก หลับเพื่อสมอง ในอัตราที่เพียงพอ 6-7 ชั่วโมง ระบบประสาทจะถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ เตรียมพร้อมสำหรับการเรียนในวันถัดไป บอกลาอาการง่วง ซึมเซาได้เลย หากนอนให้เป็นระบบทุกวัน ร่างกายจะคุ้นชิน และส่งผลดีต่อสมองในระยะยาวด้วย
 เลี่ยงคาเฟอีนเข้มข้น แม้ ผลวิจัยในต่างประเทศจะพบว่า คาเฟอีนจัดเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ลดความง่วง เหนื่อยล้า กระตุ้นการทำงานของสมอง เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ทำให้กลไกการคิดรวดเร็ว และมีสมาธิมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องได้รับในปริมาณไม่มากเกินไป สำหรับวัยเรียนลองลดความเข้มข้นจากกาแฟเป็นชาจะเหมาะต่อสุขภาพมากกว่า
 ขยับกายยืดเส้นยืดสาย ใน ระหว่างรอเรียน หรือเปลี่ยนคาบเรียน อาจลุกเดินรอบ ๆ ห้อง ก้ม เงย หยุดพักสายตาที่สนามสีเขียว หรือจิบน้ำเปล่าบ้าง ช่วยเติมความสดชื่น คลายเครียด คลายกล้ามเนื้อ และเป็นการเรียกสมาธิให้กลับคืนมา
 สร้างสมาธิด้วยโยคะ รวม ถึงการออกกำลังกายลักษณะอื่น อาทิ วิ่งเหยาะ ๆ ว่ายน้ำ ฯลฯ เมื่อร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน จะรู้สึกกระชุ่มกระชวย นอกจากช่วยคลายเครียดแล้ว ยิ่งปฏิบัติสม่ำเสมอจะทำให้จิตใจสงบ ไม่วอกแวก หรือฟุ้งซ่าน มีผลต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้นานขึ้นด้วย
 กำหนด หรือควบคุมเวลา โดย เฉพาะเมื่อต้องสะสางงาน รายงาน การบ้าน อ่านหนังสือ รวมถึงกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยตั้งเป้าช่วงเวลาเสร็จสิ้นให้ชัดเจน เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับกระตุ้นสมองให้เร่งตอบสนอง จดจ่อ มุ่งมั่นอยู่กับความรับผิดชอบนั้น ๆ
นับเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการ ปรับสมดุล และความแปรปรวนของร่างกาย สู่การเสริมสร้างสมาธิอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยวิธีง่าย ๆ ข้างต้น ลองนำไปปรับใช้ดูนะคะ.
 -- ใครที่นำไปใช้ ขอให้โชคดีจ้า --

อยากรู้มั้ย อาหารเจกับมังสวิรัติต่างกันอย่างไร?อาหารเจกับมังสวิรัติต่างกันอย่างไร?

อาหารเจกับมังสวิรัติต่างกันอย่างไร? 

ทั้งอาหารเจและอาหารมังสวิรัติ เป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียด ดังนี้

อาหารเจ นอกจากไม่มีเนื้อสัตว์แล้ว ยังมีข้อห้ามว่าต้องไม่มี หอม กระเทียม ต้นกุยช่าย ผักชี และเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน เพราะถือว่าอาหารดังกล่าวทำให้เกิดกำหนัด

วัตถุดิบที่เป็นหลักในการประกอบอาหารเจ คือ แป้ง เต้าหู้ ซีอิ๊ว ถั่วเหลือง ถั่วต่าง ๆ และผักนานาชนิด ยกเว้นผักที่กล่าวมาแล้ว


นอกจากนี้ผู้กินเจที่เคร่งครัด น้ำมันพืชที่ใช้ต้องบริสุทธิ์ 100 % จะไม่ใช้น้ำมันพืชสูตรผสม เช่น น้ำมันรำข้าวปนน้ำมันถั่วเหลือง ภาชนะที่ใส่อาหารเจก็ต้องเตรียมไว้เป็นพิเศษ ไม่ใช้ปะปนกับภาชนะที่ใส่เนื้อสัตว์ 

ปัจจุบันอาหารเจได้รับการพัฒนารูปแบบขึ้นมาก มีการทำ “หมี่กึน” ที่ทำมาจากแป้งสาลีดัดแปลง ให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเนื้อสัตว์ นำมาปรุงอาหาร สำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถตัดขาดจากเนื้อสัตว์ได้เด็ดขาด

อาหารเจจะกินกันในระหว่างเทศกาลกินเจ คือ ช่วงระหว่างวันขึ้น 1-9 ค่ำ เดือน 9 (ตามปฏิทินจีนราว เดือนตุลาคม) ระยะเวลาประมาณ ๑๐ วัน หรือกินในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง 

ผู้ที่กินเจเชื่อว่าการกินเจเป็นการได้บุญ จะส่งผลให้ชีวิตประสบความสุขความเจริญ ทั้งเป็นการต่อชีวิตให้ยืนยาวต่อไป

ส่วนอาหารมังสวิรัติ โดยรูปศัพท์หมายถึงการงดเว้นเนื้อสัตว์ (มังสะ=เนื้อสัตว์ วิรัติ=การงดเว้น) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Vegetarian

ผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติมี 2 กลุ่ม 
กลุ่มแรก ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ยังคงบริโภคไข่และนม 
กลุ่มที่สอง ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รวมทั้งไม่บริโภคไข่และนมด้วย

อาหารมังสวิรัติงดเนื้อสัตว์เหมือนกับอาหารเจ รวมทั้งเครื่องปรุงรสที่ทำมาจากสัตว์ เช่น กะปิ น้ำปลา
แต่ต่างกับอาหารเจตรงที่ไม่ห้ามบริโภคกระเทียม หัวหอม ต้นกุยช่าย หรือผักที่มีกลิ่นแรงตลอดจนเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน 

อาหารมังสวิรัติสามารถบริโภคได้ทั้งปี ไม่มีเทศกาลเหมือนอาหารเจ ผู้ ที่กินอาหารมังสวิรัติเชื่อว่าจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง เพราะได้งดเนื้อสัตว์ซึ่งมีไขมันและสารอื่น ๆ มากมาย นอกจากนั้น ยังมีประโยชน์ต่อจิตใจเพราะไม่จะเบียดเบียนชีวิตสัตว์ทั้งหลาย


ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม

16 คำทำนายสุดอัศจรรย์พระพุทธเจ้า ชี้ชะตามนุษย์โลก



ใน ยุคโลกาภิวัตน์ ที่ความเจริญทางด้านวัตถุ ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นที่น่าฉงนว่า ทำไมคนในโลกกลับมีความสุขน้อยลง และดูเหมือนว่าปัญหาในการดำรงชีวิต กลับมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัญหาทางด้านศีลธรรม จริยธรรมอันเป็นความเจริญทางด้านจิตใจ ดูจะเป็นสมการผกผัน กับความเจริญทางด้านวัตถุอย่างน่าเป็นห่วง ทุกวันนี้ หากเราฟังข่าวคราวไม่ว่าในประเทศไทย หรือประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ล้วนแล้วแต่มีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง

หลายๆ สิ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ก็สามารถนำมาใช้คาดการณ์ล่วงหน้าและรับมือได้ทัน แต่ก็มีไม่น้อย ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังไปไม่ถึง แต่หากจะบอกว่าสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่อุบัติขึ้นในสมัยปัจจุบัน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้ทำนายล่วงหน้ามาแล้วกว่า 2500 ปี หลายๆ คนอาจจะยังไม่เชื่อ หรือไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่อง "พุทธทำนาย" อันปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินนิมิตชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าถึงสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำนายพระสุบิน(ความฝัน) ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล จำนวน 16 ข้อ ว่ามีความหมายอย่างไร ดังนี้

วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ครองกรุงสาวัตถี ได้เสด็จเข้าสู่นิทรารมย์ในราตรีกาล ครั้นล่วงปัจฉิมยามใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็น พระสุบินนิมิตอันใหญ่หลวง ถึง 16 ประการ อันเป็นพระสุบินที่แปลกประหลาด จึงทรงตกพระทัยตื่นบรรทม และครั้นรุ่งเช้า ก็ได้ให้พวกพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนักทำนาย พวกพราหมณ์ปุโรหิต ก็พากันทำนายว่าเป็นพระสุบินที่ร้าย และว่าพระองค์จะต้องประสบภัยอันตราย 3 ประการ ไม่เสียราชทรัพย์ ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน หรือไม่ก็ต้องสวรรคต อย่างใดอย่างหนึ่ง และแนะให้พระองค์ทำพิธีบูชายัญสัตว์ เพื่อสะเดาะห์เคราะห์ เมื่อพระนางมัลลิกา พระมเหสีทราบเรื่องเข้า จึงทูลให้ไปขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ทรงทำนายว่า เหตุร้ายนั้นจะมีแน่นอน เพียงแต่มิใช่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือแว่นแคว้นของพระองค์ แต่เหตุร้ายเหล่านี้จะเกิดแก่สัตว์โลกทั่วๆ ไป และแก่พระศาสนาของพระพุทธองค์ในภายภาคหน้า เมื่อล่วงเลยพุทธกาลไปแล้ว 2500 ปี เมื่อศาสนาเสื่อมลง (กล่าวกันว่า อายุของพุทธศาสนาในกัลป์นี้ ยืนยาวเพียง 5,000 ปี หลังจากนั้น ต้องรอยุคของพระศรีอาริยเมตตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเสด็จมาโปรดสัตว์)

ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล และคำทำนายของพระพุทธเจ้าทั้ง 16 ประการ ประกอบด้วย

1. ทรงฝันว่า มีโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ 4 ตัว ต่างคิดจะชนกัน ก็พากันวิ่งมาสู่ท้องพระลานหลวงจาก 4 ทิศ ฝูงชนต่างรอดู โคทั้งสี่ก็ส่งเสียงคำรามลั่น แต่แล้วต่างก็ถอยออกไป ไม่ชนกัน - พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายว่า ในอนาคตในชั่วศาสนาของพระองค์ เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น คล้ายเมฆตั้งเค้าจะมีฝน มีเสียงคำรามกระหึ่ม แต่แล้วก็ไม่ตก กลับเลยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกัน แต่ไม่ชนกันฉะนั้น

2. ทรงฝันว่า ต้นไม้เล็กๆ และกอไผ่ที่โตเพียงคืบบ้าง ศอกบ้าง ก็ออกดอกออกผลแล้ว - พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า ต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์ มีวัยยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆ เหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว

3. ทรงฝันว่า ทรงเห็นแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด - ทรงทำนายว่า ต่อไปในอนาคตการเคารพนบนอบผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่พ่อแม่เมื่อหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนไม่ได้ ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็กๆ ดังที่แม่โคที่ต้องกินนมลูกโคฉะนั้น

4. ทรงฝันว่าผู้คนไม่ใช้วัวตัวใหญ่ ที่สมบูรณ์แข็งแรงเทียมแอกลากเกวียน กลับไปใช้โครุ่นๆ ที่ยังปราศจากกำลังมาลาก เมื่อมันลากเกวียนให้แล่นไม่ได้ มันก็สลัดแอกนั้นเสีย - ทรงทำนายว่า ในภายหน้าเมื่อผู้มีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม แทนที่จะยกย่องและมอบหมายหน้าที่ ให้กับผู้มีสติปัญญา ความรู้ กลับไปมอบยศศักดิ์ให้กับคนหนุ่มที่อ่อนหัด ด้อยประสบการณ์ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี กิจการต่างๆ ก็ไม่สำเร็จ ก็เหมือนใช้โครุ่นมาเทียมแอก เกวียนก็แล่นไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น

5. ทรงฝันว่าเห็นม้าตัวหนึ่ง มีปากสองข้าง ฝูงชนก็เอาหญ้าไปป้อนที่ปากทั้งสองข้าง มันก็กินทั้งสองข้าง - ทรงทำนายว่า ในอนาคตเมื่อผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจไม่ดำรงอยู่ในธรรม ตั้งคนพาล หรือคนไม่มีศีลธรรมไว้ในตำแหน่งอันมีผลต่อผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะไม่นึกถึงบาปบุญ คุณโทษ แต่จะตัดสินคดีต่างๆ ตามแต่ใจชอบ โดยเอาสินบนจากทั้งสองฝ่ายเป็นประมาณ ดังม้าที่กินหญ้าทั้งสองปาก

6. ทรงฝันว่าฝูงชนเอาถาดทองราคาแพง ไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง พร้อมเชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกตัวนั้น ถ่ายปัสสาวะใส่ถาดทองนั้น - ทรงทำนายว่า ต่อไปคนดีมีสกุลทั้งหลายจะสิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำ หรือคนพาลจะได้เป็นใหญ่เป็นโต และคนมีตระกูล ก็จะต้องยกลูกสาว ให้แก่ผู้ไร้ตระกูลเหล่านั้น เหมือนเอาถาดทองไปให้หมาปัสสาวะรด

7.ทรง ฝันว่า มีชายคนหนึ่งนั่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปในที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตัวหนึ่ง นอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั้นนั่งอยู่ แล้วก็กัดกินเชือกนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว - ทรงทำนายว่า ในกาลข้างหน้า ผู้หญิงจะเหลาะแหละ โลเล ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ ประพฤติทุศีล แล้วก็จะเอาทรัพย์ที่สามีหาได้ด้วยความลำบากไปใช้ หรือให้ชายชู้ เหมือนนางหมาโซที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่น และหย่อนลงไว้ใกล้เท้า

8. ทรงฝันว่ามีตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมตุ่มหนึ่งวางอยู่ตรงประตูวัง แวดล้อมด้วยตุ่มว่างๆ เป็นอันมาก แต่คนก็ยังไปตักน้ำใส่ตุ่มที่เต็มอยู่ จนล้นแล้วล้นอีก โดยไม่เหลียวแลจะตักใส่ตุ่มที่ว่างๆ นั้นเลย - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อศาสนาเสื่อม คนเป็นใหญ่หรือมีอำนาจ จะเบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า คนที่รวยอยู่แล้ว ก็จะมีคนจนหารายได้ ไปส่งเสริมให้รวยยิ่งขึ้น ดังฝูงชนที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่มใหญ่ที่เต็มอยู่แล้วจนล้น ส่วนตุ่มที่ว่างอยู่กลับไม่ไปใส่น้ำ

9. ทรงฝันเห็นสระแห่งหนึ่ง มีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม และมีท่าขึ้นลงโดยรอบ สัตว์ต่างๆ ก็พากันดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่น้ำบริเวณที่สัตว์เหยียบย่ำจะขุ่น กลับใสสะอาด ส่วนน้ำที่อยู่ลึกกลางสระที่สัตว์ไม่ไปดื่มหรือ เหยียบย่ำแทนที่จะใส กลับขุ่นข้น - ทรงทำนายว่า ต่อไป เมื่อคนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ขาดเมตตา คอยใช้อำนาจ รีดนาทาเร้นหรือกินสินบน ชาวบ้านชาวเมือง ก็จะหนีไปอยู่ตามชายแดนหรือที่อื่นๆ ทำให้ที่นั้นๆ ที่คนพากันไปอยู่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เหมือนน้ำรอบๆ สระที่ใส ส่วนเมืองหลวงกลับว่างเปล่า เหมือนกลางสระที่ขุ่น

10. ทรงฝันว่า เห็นข้าวที่คนหุงในหม้อใบเดียวกัน สุกไม่เท่ากัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ข้าวแฉะ ข้าวดิบ และข้าวสุกดี - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อคนทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือตกไม่ทั่วถึง ทำให้การเพาะปลูกบางแห่งได้ผล บางแห่งก็ไม่ได้ผล เช่นเดียวกับข้าวที่มีสุกบ้าง ดิบบ้าง และแฉะบ้าง

11. ทรงฝันว่าคนนำแก่นจันทน์ที่มีราคาแพง ไปแลกกับเปรียงเน่า (อ่านว่า เปฺรียง มี 3 ความหมาย คือ 1. นมส้มผสมน้ำแล้วเจียวให้แตกมัน 2.น้ำมันจากไขข้อวัว และ 3.เถาวัลย์เปรียง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงเถาวัลย์เปรียง เทียบกับแก่นจันทน์ที่เป็นไม้เหมือนกันมากกว่า 2 ความหมายแรก) - ทรงทำนายว่า กาลภายหน้า พระภิกษุอลัชชีเห็นแก่ได้ทั้งหลาย แทนที่จะนำธรรมะ ที่พระพุทธองค์สอน ไปสอนสั่งให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ และละความโลภ กลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหากิน หาปัจจัยบริจาคเข้าตัวเอง เหมือนเอาแก่นจันทน์ (ธรรมะคำสอนที่ดี) ไปแลกเอาเถาวัลย์เน่า (ลาภอามิสที่ได้รับมา ซึ่งไม่จีรังและไม่ช่วยให้พ้นทุกข์จริงๆ ได้)

12. ทรงฝันเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ - ทรงทำนายว่า ต่อไปคำพูดของคน ที่ไม่ควรจะได้รับความเชื่อถือ กลับจะได้รับความเชื่อถือ โดยเปรียบถ้อยคำของคนที่ไม่น่าเชื่อว่ามีน้ำหนักเบาเหมือนกับผลน้ำเต้า ซึ่งปกติจะลอยน้ำ แต่เมื่อคนเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นมีน้ำหนัก หรือหนักแน่น จึงเปรียบคำพูดนั้นว่ามีน้ำหนัก ราวกับน้ำเต้าที่จมน้ำได้

13. ทรงฝันว่าศิลาแท่งทึบขนาดเรือน ลอยน้ำได้เหมือนเรือ - ทรงทำนายว่า ถ้อยคำของคนที่ควรได้รับการเชื่อถือ ซึ่งหนักแน่น มีน้ำหนักเปรียบประดุจแท่งศิลา กลับไม่ได้รับความเชื่อถือ หรือกลายเป็นถ้อยคำที่ไม่มีน้ำหนักเหมือน เรือที่ลอยได้ ข้อนี้ตรงกันข้ามกับข้อที่แล้ว คือ คนหันไปเชื่อคำพูดคนที่ไม่ควรเชื่อ เหมือนสิ่งที่ควรลอยกลับจม สิ่งที่ควรจมกลับลอย

14. ทรงฝันว่า ทรงเห็นฝูงเขียดตัวเล็กๆ วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่ และกัดเนื้องูเห่าขาดเหมือนกัดก้านบัว แล้วกลืนกินเข้าไป - ทรงทำนายว่า เมื่อมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส ราคะ สามีจะตกอยู่ในอำนาจของเมียเด็ก และจะถูกดุด่าว่ากล่าวเช่นเดียวกับคนรับใช้ เหมือนเขียดตัวเล็กๆ แต่กลับกินงูได้

15. ทรงฝันว่า ฝูงพญาหงส์ทอง ที่มีขนเป็นทอง ถูกแวดล้อมด้วยกา - ทรงทำนายว่า ในอนาคตผู้มีตระกูลต้องไปเที่ยวประจบ และสวามิภักดิ์ต่อผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกา

16. ทรงฝันว่า ฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลือง และกัดกิน ทำให้เสืออื่นๆ สะดุ้งกลัว จนต้องหนีไปแอบซ่อนตัวจากฝูงแกะ - ทรงทำนายว่าต่อไปภายหน้า คนชั่ว หรือคนที่ไม่ดีจะเรืองอำนาจ และใช้อำนาจเป็นธรรม ทำให้คนดีถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องหลบหนี ซ่อนตัวจากภัยร้ายเหล่านี้ เหมือนเสือซ่อนตัวจากแกะ

เมื่อพิจารณาความฝัน จะเห็นว่าหลายข้อในความฝัน เป็นสิ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ เช่น แม่โคกินนมลูกโค ม้าสองปาก เขียดกินงู และแกะกินเสือ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีนัยอันไปสู่พุทธทำนายทั้งสิ้น หลายคนอาจจะสงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ในสมัยพุทธกาล ทำไมฝันได้ไกลไปถึงอนาคต อันไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ได้ถึงเพียงนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าคงเป็นเพราะเทวดาดลใจ ให้พระองค์ฝันแปลกประหลาด เพื่อพระบรมศาสดาจะได้ฝาก "พุทธทำนาย" เป็นคำพยากรณ์อันอมตะไว้ เป็นเครื่องเตือนสติ ให้มนุษย์โลกได้ตระหนัก และระมัดระวังภัยพิบัตินานัปการ ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เพราะคงเล็งเห็นด้วยญาณวิเศษแล้วว่า นับวันคนเราก็จะห่างไกลจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ จนเป็นเหตุให้มนุษย์มุ่งทำลาย เอารัดเอาเปรียบทั้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อกอบโกยไปบำรุงบำเรอกิเลสแห่งตน โดยขาดความรัก ความเมตตาต่อกัน จึงทำให้คนเห็นแก่ตัว และมีผลให้สภาพแวดล้อม ธรรมชาติแปรปรวนไปหมด

ในปัจจุบัน เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง อันทำให้เพาะปลูกได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ปัญหาเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม เช่น เด็กและเยาวชนแก่แดดขึ้น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยเพิ่มขึ้น ลูกขาดความกตัญญู และความเคารพยำเกรงต่อพ่อแม่ อลัชชีหรือพระทุศีลมีมากขึ้น ชายแก่ตกอยู่ในอำนาจเมียเด็ก หรือปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เช่น คนขาดความรู้ประสบการณ์ ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจรับสินบน ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คนรวยยิ่งรวยเพราะมีช่องทาง และโอกาสเอาเปรียบคนจน เหมือนตุ่มใหญ่ที่คนตักน้ำไปใส่จนเต็มแล้วเต็มอีก แล้วปล่อยตุ่มเล็กให้ว่างเปล่า ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนไม่พ้นคำพยากรณ์ที่ทรงทำนาย บอกแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะเกิดขึ้นในอนาคตของสมัยโน้น ก็คือ สมัยนี้หรือปัจจุบันนั่นเอง

อย่าง ไรก็ดี ก็ยังมีพุทธทำนาย เพิ่มเติมที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า "....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้น จะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้น(ปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น...ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบ กลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศ มีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง

เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ (น่าจะหมายถึงพระศรีอาริยเมตตไตรย์)....จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนา ของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก 5,000 พระวรรษา…คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล" นี่คือพุทธทำนายที่ทรงตรัสไว้ กว่า 2500 ปีล่วงมาแล้ว ส่วนใครจะเชื่อ จะปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ก็คงเป็นไปตามกรรม ของแต่ละคนดังพระพุทธองค์ว่าไว้

โครงการอินเทล ทีช ปรับวิถีการเรียนในห้องเรียนทั่วโลก


อินเทลฉลองความสำเร็จ อบรมครูทั่วโลกครบ 10 ล้านคน
โครงการอินเทล ทีช ปรับวิถีการเรียนในห้องเรียนทั่วโลกหลายล้านโรงเตรียมความพร้อมให้นักเรียนกว่า 300 ล้านคน สู่ความสำเร็จในอนาคต
ในวันที่ 20กันยายน 2554 อินเทล คอร์ปอเรชั่น ฉลองความสำเร็จโครงการ อินเทล ทีช (Intel® Teach) ที่สามารถดำเนินการอบรมครูจนครบ 10 ล้านคนทั่วโลก โดยโครงการอินเทล ทีช ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งพัฒนาศักยภาพของครู เพื่อให้ครูเป็นบุคลากรที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะในการแก้ไขปัญหา คิดวิเคราะห์เชิงลึก และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “อินเทลมีความภาคภูมิใจที่มีโอกาสได้นำความเชี่ยวชาญทางด้านการศึกษาและเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบการศึกษาของไทยอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว ผ่านโครงการอินเทล ทีช ซึ่งเป็นโครงการที่อินเทลดำเนินการอย่างต่อเนื่อง  อินเทลเชื่อว่าครูคือบุคคลากรที่มีความสำคัญต่อการผลักดันให้นักเรียนประสบความสำเร็จ
โครงการ อินเทล ทีช ของ อินเทล คอร์ปอเรชั่น ให้การอบรมครูจนครบ 10 ล้านคนทั่วโลกในกว่า 70 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยมุ่งหวังเพื่อพัฒนาศักยภาพของครูให้สามารถบูรณาการเทคโนโลยีสู่การเรียนการสอน ตลอดจนส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะในการแก้ไขปัญหา คิดวิเคราะห์เชิงลึก และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อินเทลริเริ่มโครงการ อินเทล ทีช บนพื้นฐานความคิดที่เรียบง่ายว่า การศึกษา คือ ศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ของนักเรียน ผ่านการเรียนรู้ที่เน้นการทำโครงงานเป็นหลัก (project-based experience) แทนการฟังคำบรรยายจากครูหรือการท่องจำอินเทล ริเริ่มโครงการ อินเทล ทีช ในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2546 จนถึงปัจจุบัน เพื่อให้ครูสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าบูรณาการในหลักสูตรสำหรับชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  อินเทลคาดว่าจะมีครูที่ผ่านการอบรมหลักสูตรจากโครงการนี้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันคือ 130,000 คนเป็น 150,000 คนได้ภายในสิ้นปีนี้ 

การแต่งตัวสำหรับไปทำงาน คุณควรแต่งตัวแบบไหน

คุณ ประโยชน์ของชุดทำงานแบบลำลองซึ่งไม่เป็นทางการมากเกินไปนัก และไม่ใช่เครื่องแบบที่บังคับใช้ ช่วยให้บุคลากรขององค์กรสามารถแสดงออกซึ่งความคิดสร้างสรรค์ อันเป็นรสนิยมเฉพาะตัว และความเป็นตัวของเขาเองได้ชัดเจนมากกว่า นอกเหนือจากนี้เครื่องแต่งกายที่เอื้อให้เกิดความสะดวกสบายคล่องแคล่วในการ ทำงานยังช่วยให้ผลผลิตของงานทั้งในทางคุณภาพและปริมาณดีขึ้น อีกทั้งผู้ปฏิบัติงานก็มีความพึงพอใจในการทำงานและมีความสุขในการปฏิบัติ หน้าที่ในที่ทำงานตามไปด้วย
UploadImage
 
          อย่าง ไรก็ตาม ระดับและลักษณะแห่งความลำลอง ของชุดทำงานควรอยู่ในขอบเขตจำกัดที่เหมาะสมพอดี ไม่ตามสบายมากเกินไปจนดูน่าเกลียดและไม่น่าดู ความไม่เหมาะสมอันเนื่องมาแต่ลักษณะการแต่งกายที่ตามสบายมากจนเกินไปมาทำงาน ทำให้บุคลากรผู้แต่งชุดทำงานลำลองเกินกว่าเหตุนั้น "ดูไม่ดี" ประหนึ่งเป็นผู้ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้ความเหมาะและควร
 
          วันนี้ เราจะมาพิจารณาว่าข้อควรงดเว้นหรือสิ่งที่ไม่ควรกระทำในการแต่งกายชุดทำงาน แบบลำลอง หรือการแต่งกายมาทำงานอย่างสบายๆ ไม่เป็นทางการมีในประการใดบ้าง
 
          ข้อควรงดเว้นในการแต่งกายชุดทำงานแบบลำลอง 
 
          รองเท้าแตะณ สถานที่ทำงานใดๆ ก็ตามถึงหากแม้นว่าองค์กรแห่งนั้นจะเปิดโอกาสให้บุคลากรในทุกระดับแต่งกาย ตามสบายมาทำงานได้มากเพียงใดก็ตาม ก็เป็นการมิบังควรอย่างยิ่งที่พนักงานบางคนจะถือโอกาสสวมรองเท้าแตะมาทำงาน ไม่ว่ารองเท้าแตะคู่นั้นจะสวยหรือแพงมากเพียงใด เพราะรองเท้าแตะก็คือรองเท้าแตะอยู่วันยังค่ำ แบบและราคาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรองเท้าแตะให้กลายเป็นรองเท้าชนิดอื่นไปได้
 
          ทั้ง นี้ เนื่องจากระดับของรองเท้าแตะมีความจำกัด คือ เหมาะที่จะสวมอยู่ที่บ้าน หรือตามสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งพักผ่อนที่มีน้ำ เช่น บริเวณชายหาดเท่านั้น ทั้งนี้หมายรวมไปถึงรองเท้าแตะชนิดรัดส้นของคุณสุภาพบุรุษ ซึ่งก็ไม่อนุโลมให้นำมาใช้ ณ สถานที่ทำงานด้วยเช่นกัน และไม่ว่าจะใช้กับถุงเท้าหรือโดยปราศจากถุงเท้าก็ตามรองเท้าแตะทุกชนิดทุก ประเภท ไม่ควรนำมาใช้กับชุดทำงานแบบลำลองทั้งสิ้น
 
          เสื้อยืดคอกลมขอความกรุณาคุณสุภาพบุรุษโปรดอย่าคิดว่าเป็นเรื่องสนุกหรือมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความเป็นกันเองมากๆ ในที่ทำงานชนิดที่ว่าให้เกิดความครื้นเครง คึกคะนองอย่างสุดยอดโดยการสวมเสื้อยืดคอกลมสีสันฉูดฉาด อีกทั้งมีภาพและถ้อยคำดึงดูดใจให้คิดไปได้หลายทาง สองแง่สองมุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชิงหยาบโลน เสื้อยืดคอกลมแนวดังกล่าวเหมาะที่จะสวมใส่ไปท่องเที่ยวในย่านที่มีนักท่อง เที่ยวคึกคะนอง เช่น แหล่งชุมชนยามราตรีบางแห่ง คงเป็นการเหมาะสมกว่าที่ทำงาน
 
          ใน ขณะที่พนักงานบางท่านขององค์กรแห่งวิชาชีพอาจมีความคิดว่า เสื้อยืดคอกลมสวมสบายทำให้ดูเป็นกันเองแบบสนุกๆ ง่ายๆ แต่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ รวมทั้งผู้บังคับบัญชาและลูกค้าอาจไม่สนุกด้วยเพราะดู "มักง่าย" เกินไป ผู้พบเห็นทั้งปวงอาจคิดไปได้ว่า การสวมเสื้อยืดคอกลมมาทำงานนั้น เป็นการกระทำของบุคลากรผู้ช่างไม่มีความคิดเอาเสียเลย จนไม่อาจสามารถหยั่งรู้ถึงความเหมาะควรในเรื่องเครื่องแต่งกายชุดทำงาน เสื้อยืดคอกลมมีความหมายแห่งสารหรือเมสเซสในตัวของมัน ที่สื่อให้ผู้อื่นเห็นว่าผู้สวมตระหนักในความเหมาะและควรมากน้อยเพียงใด
 
          เสื้อผ้าอันมีขนาดไม่พอเหมาะพอดีกับรูปร่างเครื่องแต่งกายที่คับเกินไป หรือในทางตรงข้ามหลวมมากเกินไป มิได้ช่วยให้ผู้สวมใส่ดูดีเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าที่คับติ้วรัดรูปมากเสียจนดูเสมือนว่าตะเข็บแทบ ปริเป็นแห่งๆ ทำให้ผู้พบเห็นเกิดเวทนาขึ้นในใจ ชวนให้ปลงสังเวชต่อทุกรกิริยาของสังขารที่ได้เห็น
 
          ฝ่าย เสื้อผ้าที่หลวมโพลกเพลกก็ทำให้ผู้สวมมีสภาพใกล้เคียงกับหุ่นไล่กา กางเกงหลวมแนวแร็พ แบบที่กลุ่มวัยรุ่นในชุมชนแออัดบางแห่งในประเทศสหรัฐอเมริกานิยม ซึ่งรู้จักกันทั่วไปว่า สตรีต ลุค คือกางเกงที่มีขนาดใหญ่มาก หลวมมาก และขายาวมากกว่าขนาดที่พอดีกับรูปร่างของผู้สวมใส่ คงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ในที่ทำงาน โดยเฉพาะชายขาของกางเกงที่ยาวเกินต้องการจนลากไปตามพื้นดูไม่สะอาดเลย โปรดกรุณาอย่าสร้างภาพลักษณ์ของตนเอง ณ ที่ทำงานในแบบฉบับที่เป็นกลุ่มเดียวกันกับขาโจ๋วัยจ๊าบผู้ชอบใช้เวลาเป็น วันๆ โดยไม่สนใจจะทำงานอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน หรือที่เป็นประโยชน์นอกจากการฟังเพลงแร็พ และเข้ากลุ่มเพื่อนอยู่ตรงหัวถนนหรือปากซอยซึ่งแน่นอนครับ มันเป็นคนละบรรยากาศกับสถานที่ทำงานของบุคลากรในวิชาชีพ ซึ่งต้องการศักยภาพในการทำงาน
 
          ฉะนั้น เสื้อผ้าที่มีขนาดไม่พอเหมาะพอดีกับรูปร่างของผู้สวมใส่ทั้งสองประการ คงไม่ใช่เครื่องแต่งกายที่สมควรจะนำมาใช้เป็นชุดทำงานในองค์กรที่ต้องการ บุคลากรระดับมืออาชีพ
 
          การเปลือยเนื้อหนังบริเวณที่ปกติควรปกปิดขอความกรุณาคุณสุภาพบุรุษผู้ประสงค์จะแต่งกายชุดลำลองไปทำงาน โปรดงดโชว์ผิวหนังบริเวณอวัยวะส่วนต่ำล่างสุดของร่างกาย คือ เท้า ข้อเท้า และน่องที่ปราศจากถุงเท้า เพราะอวัยวะบริเวณนี้ปกติแล้วควรปกปิด ขณะประจำการที่ทำงาน ถุงเท้าที่เราใช้ควรให้แน่ใจว่ามีขนาดความยาวมากพอที่จะหุ้มข้อเท้า และน่องในขณะเมื่อเรานั่งหรือไขว่ห้าง
 
          "การ ห้าม" ในข้อนี้ คงต้องรวมไปถึงกรณีการงดใช้เสื้อทุกชนิดที่เป็นแบบแขนกุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสื้อกล้าม เพื่อสวมไป ณ สถานที่ทำงานด้วยเช่นกัน การสวมเสื้อที่มีคอ และแขนตลอดจนรองเท้าหุ้มส้น และถุงเท้าที่มีความยาวมากพอจะช่วยปกปิดผิวหนัง ของอวัยวะส่วนที่ควรปกปิดให้มิดชิดพ้นสายตาผู้พบเห็น เป็นสิ่งที่พึงกระทำและเป็นการแต่งกายที่ช่วยมิให้ดูตามสบายหรือลำลองมากจน เกินความพอดี

"โซนี่ มิวสิค เปิดตัว “ไอ-ฮัม สตรีม” สุดยอดคลังเพลงยุคดิจิตอลมิวสิค


โซนี่ มิวสิค เปิดตัว ไอ-ฮัม สตรีม คลังเพลงยุคดิจิตอลมิวสิค 
พร้อมเสิร์ฟคอนเทนต์สตรีมมิ่งผ่าน 3G เน็ตเวิร์ก
UploadImage
 โซนี่ มิวสิค สบช่องว่างทางการตลาด ด้วยการเปิดตัวแอพพลิเคชั่นใหม่ล่าสุด ภายใต้ชื่อ “ไอ-ฮัม สตรีม” (i-hUMM Stream) คลังเพลงยุคดิจิตอลมิวสิค พร้อมเสิร์ฟคอนเทนต์สตรีมมิ่งผ่าน 3G เน็ตเวิร์ก ไอ-ฮัม สตรีม (i-hUMM Stream)  จะ เปรียบเสมือนคลังเพลงของโซนี่มิวสิค ที่จะให้คุณได้รับชมมิวสิควีดีโอและเบื้องหลังการทำงานของศิลปินต่างๆใน สังกัดโซนี่มิวสิคทั้งในอดีตและปัจจุบันในรูปแบบของการสตรีมมิ่งคอนเทนต์ ด้วยวิธีง่ายๆเพียงคุณดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นที่มีชื่อว่า i-hUMM Stream” จาก App Store ลงมาไว้ในไอโฟนของตัวเอง
UploadImage