รายการบล็อกของฉัน

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เพลงของคนโง่ - Sweet Mullet

เทคนิคสร้างสมาธิในการเรียน


เทคนิคสร้างสมาธิในการเรียน
บอกลาอาการง่วง ซึมเซา วอกแวก ฟุ้งซ่าน ด้วยวิธีเสริมสร้าง “สมาธิ” อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยหลักปฏิบัติง่าย ๆ 5 ข้อ
วัย เรียนหลายคนที่มักเผชิญปัญหาสมาธิสั้น หรือบ่อยครั้งจดจ่อกับกิจกรรมเป็นบางเรื่อง แต่ก็เพียงระยะเวลาไม่นานนัก นั่นเป็นเพราะน้อง ๆ อาจละเลยความสมดุลของตารางกิจวัตรประจำวันไป จนส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ และจดจำ อย่างไรก็ตาม ภาวะดังกล่าวปรับแก้ได้ด้วย 5 วิธีสร้างสมาธิง่าย ๆ ดังนี้
 เริ่มจาก หลับเพื่อสมอง ในอัตราที่เพียงพอ 6-7 ชั่วโมง ระบบประสาทจะถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ เตรียมพร้อมสำหรับการเรียนในวันถัดไป บอกลาอาการง่วง ซึมเซาได้เลย หากนอนให้เป็นระบบทุกวัน ร่างกายจะคุ้นชิน และส่งผลดีต่อสมองในระยะยาวด้วย
 เลี่ยงคาเฟอีนเข้มข้น แม้ ผลวิจัยในต่างประเทศจะพบว่า คาเฟอีนจัดเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ลดความง่วง เหนื่อยล้า กระตุ้นการทำงานของสมอง เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ทำให้กลไกการคิดรวดเร็ว และมีสมาธิมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องได้รับในปริมาณไม่มากเกินไป สำหรับวัยเรียนลองลดความเข้มข้นจากกาแฟเป็นชาจะเหมาะต่อสุขภาพมากกว่า
 ขยับกายยืดเส้นยืดสาย ใน ระหว่างรอเรียน หรือเปลี่ยนคาบเรียน อาจลุกเดินรอบ ๆ ห้อง ก้ม เงย หยุดพักสายตาที่สนามสีเขียว หรือจิบน้ำเปล่าบ้าง ช่วยเติมความสดชื่น คลายเครียด คลายกล้ามเนื้อ และเป็นการเรียกสมาธิให้กลับคืนมา
 สร้างสมาธิด้วยโยคะ รวม ถึงการออกกำลังกายลักษณะอื่น อาทิ วิ่งเหยาะ ๆ ว่ายน้ำ ฯลฯ เมื่อร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน จะรู้สึกกระชุ่มกระชวย นอกจากช่วยคลายเครียดแล้ว ยิ่งปฏิบัติสม่ำเสมอจะทำให้จิตใจสงบ ไม่วอกแวก หรือฟุ้งซ่าน มีผลต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้นานขึ้นด้วย
 กำหนด หรือควบคุมเวลา โดย เฉพาะเมื่อต้องสะสางงาน รายงาน การบ้าน อ่านหนังสือ รวมถึงกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยตั้งเป้าช่วงเวลาเสร็จสิ้นให้ชัดเจน เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับกระตุ้นสมองให้เร่งตอบสนอง จดจ่อ มุ่งมั่นอยู่กับความรับผิดชอบนั้น ๆ
นับเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการ ปรับสมดุล และความแปรปรวนของร่างกาย สู่การเสริมสร้างสมาธิอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยวิธีง่าย ๆ ข้างต้น ลองนำไปปรับใช้ดูนะคะ.
 -- ใครที่นำไปใช้ ขอให้โชคดีจ้า --

อยากรู้มั้ย อาหารเจกับมังสวิรัติต่างกันอย่างไร?อาหารเจกับมังสวิรัติต่างกันอย่างไร?

อาหารเจกับมังสวิรัติต่างกันอย่างไร? 

ทั้งอาหารเจและอาหารมังสวิรัติ เป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียด ดังนี้

อาหารเจ นอกจากไม่มีเนื้อสัตว์แล้ว ยังมีข้อห้ามว่าต้องไม่มี หอม กระเทียม ต้นกุยช่าย ผักชี และเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน เพราะถือว่าอาหารดังกล่าวทำให้เกิดกำหนัด

วัตถุดิบที่เป็นหลักในการประกอบอาหารเจ คือ แป้ง เต้าหู้ ซีอิ๊ว ถั่วเหลือง ถั่วต่าง ๆ และผักนานาชนิด ยกเว้นผักที่กล่าวมาแล้ว


นอกจากนี้ผู้กินเจที่เคร่งครัด น้ำมันพืชที่ใช้ต้องบริสุทธิ์ 100 % จะไม่ใช้น้ำมันพืชสูตรผสม เช่น น้ำมันรำข้าวปนน้ำมันถั่วเหลือง ภาชนะที่ใส่อาหารเจก็ต้องเตรียมไว้เป็นพิเศษ ไม่ใช้ปะปนกับภาชนะที่ใส่เนื้อสัตว์ 

ปัจจุบันอาหารเจได้รับการพัฒนารูปแบบขึ้นมาก มีการทำ “หมี่กึน” ที่ทำมาจากแป้งสาลีดัดแปลง ให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเนื้อสัตว์ นำมาปรุงอาหาร สำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถตัดขาดจากเนื้อสัตว์ได้เด็ดขาด

อาหารเจจะกินกันในระหว่างเทศกาลกินเจ คือ ช่วงระหว่างวันขึ้น 1-9 ค่ำ เดือน 9 (ตามปฏิทินจีนราว เดือนตุลาคม) ระยะเวลาประมาณ ๑๐ วัน หรือกินในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง 

ผู้ที่กินเจเชื่อว่าการกินเจเป็นการได้บุญ จะส่งผลให้ชีวิตประสบความสุขความเจริญ ทั้งเป็นการต่อชีวิตให้ยืนยาวต่อไป

ส่วนอาหารมังสวิรัติ โดยรูปศัพท์หมายถึงการงดเว้นเนื้อสัตว์ (มังสะ=เนื้อสัตว์ วิรัติ=การงดเว้น) ภาษาอังกฤษเรียกว่า Vegetarian

ผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติมี 2 กลุ่ม 
กลุ่มแรก ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ยังคงบริโภคไข่และนม 
กลุ่มที่สอง ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รวมทั้งไม่บริโภคไข่และนมด้วย

อาหารมังสวิรัติงดเนื้อสัตว์เหมือนกับอาหารเจ รวมทั้งเครื่องปรุงรสที่ทำมาจากสัตว์ เช่น กะปิ น้ำปลา
แต่ต่างกับอาหารเจตรงที่ไม่ห้ามบริโภคกระเทียม หัวหอม ต้นกุยช่าย หรือผักที่มีกลิ่นแรงตลอดจนเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน 

อาหารมังสวิรัติสามารถบริโภคได้ทั้งปี ไม่มีเทศกาลเหมือนอาหารเจ ผู้ ที่กินอาหารมังสวิรัติเชื่อว่าจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง เพราะได้งดเนื้อสัตว์ซึ่งมีไขมันและสารอื่น ๆ มากมาย นอกจากนั้น ยังมีประโยชน์ต่อจิตใจเพราะไม่จะเบียดเบียนชีวิตสัตว์ทั้งหลาย


ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม

16 คำทำนายสุดอัศจรรย์พระพุทธเจ้า ชี้ชะตามนุษย์โลก



ใน ยุคโลกาภิวัตน์ ที่ความเจริญทางด้านวัตถุ ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นที่น่าฉงนว่า ทำไมคนในโลกกลับมีความสุขน้อยลง และดูเหมือนว่าปัญหาในการดำรงชีวิต กลับมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัญหาทางด้านศีลธรรม จริยธรรมอันเป็นความเจริญทางด้านจิตใจ ดูจะเป็นสมการผกผัน กับความเจริญทางด้านวัตถุอย่างน่าเป็นห่วง ทุกวันนี้ หากเราฟังข่าวคราวไม่ว่าในประเทศไทย หรือประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ล้วนแล้วแต่มีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง

หลายๆ สิ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ก็สามารถนำมาใช้คาดการณ์ล่วงหน้าและรับมือได้ทัน แต่ก็มีไม่น้อย ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังไปไม่ถึง แต่หากจะบอกว่าสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่อุบัติขึ้นในสมัยปัจจุบัน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้ทำนายล่วงหน้ามาแล้วกว่า 2500 ปี หลายๆ คนอาจจะยังไม่เชื่อ หรือไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่อง "พุทธทำนาย" อันปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินนิมิตชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าถึงสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำนายพระสุบิน(ความฝัน) ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล จำนวน 16 ข้อ ว่ามีความหมายอย่างไร ดังนี้

วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ครองกรุงสาวัตถี ได้เสด็จเข้าสู่นิทรารมย์ในราตรีกาล ครั้นล่วงปัจฉิมยามใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็น พระสุบินนิมิตอันใหญ่หลวง ถึง 16 ประการ อันเป็นพระสุบินที่แปลกประหลาด จึงทรงตกพระทัยตื่นบรรทม และครั้นรุ่งเช้า ก็ได้ให้พวกพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนักทำนาย พวกพราหมณ์ปุโรหิต ก็พากันทำนายว่าเป็นพระสุบินที่ร้าย และว่าพระองค์จะต้องประสบภัยอันตราย 3 ประการ ไม่เสียราชทรัพย์ ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน หรือไม่ก็ต้องสวรรคต อย่างใดอย่างหนึ่ง และแนะให้พระองค์ทำพิธีบูชายัญสัตว์ เพื่อสะเดาะห์เคราะห์ เมื่อพระนางมัลลิกา พระมเหสีทราบเรื่องเข้า จึงทูลให้ไปขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ทรงทำนายว่า เหตุร้ายนั้นจะมีแน่นอน เพียงแต่มิใช่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือแว่นแคว้นของพระองค์ แต่เหตุร้ายเหล่านี้จะเกิดแก่สัตว์โลกทั่วๆ ไป และแก่พระศาสนาของพระพุทธองค์ในภายภาคหน้า เมื่อล่วงเลยพุทธกาลไปแล้ว 2500 ปี เมื่อศาสนาเสื่อมลง (กล่าวกันว่า อายุของพุทธศาสนาในกัลป์นี้ ยืนยาวเพียง 5,000 ปี หลังจากนั้น ต้องรอยุคของพระศรีอาริยเมตตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเสด็จมาโปรดสัตว์)

ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล และคำทำนายของพระพุทธเจ้าทั้ง 16 ประการ ประกอบด้วย

1. ทรงฝันว่า มีโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ 4 ตัว ต่างคิดจะชนกัน ก็พากันวิ่งมาสู่ท้องพระลานหลวงจาก 4 ทิศ ฝูงชนต่างรอดู โคทั้งสี่ก็ส่งเสียงคำรามลั่น แต่แล้วต่างก็ถอยออกไป ไม่ชนกัน - พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายว่า ในอนาคตในชั่วศาสนาของพระองค์ เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น คล้ายเมฆตั้งเค้าจะมีฝน มีเสียงคำรามกระหึ่ม แต่แล้วก็ไม่ตก กลับเลยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกัน แต่ไม่ชนกันฉะนั้น

2. ทรงฝันว่า ต้นไม้เล็กๆ และกอไผ่ที่โตเพียงคืบบ้าง ศอกบ้าง ก็ออกดอกออกผลแล้ว - พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า ต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์ มีวัยยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆ เหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว

3. ทรงฝันว่า ทรงเห็นแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด - ทรงทำนายว่า ต่อไปในอนาคตการเคารพนบนอบผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่พ่อแม่เมื่อหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนไม่ได้ ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็กๆ ดังที่แม่โคที่ต้องกินนมลูกโคฉะนั้น

4. ทรงฝันว่าผู้คนไม่ใช้วัวตัวใหญ่ ที่สมบูรณ์แข็งแรงเทียมแอกลากเกวียน กลับไปใช้โครุ่นๆ ที่ยังปราศจากกำลังมาลาก เมื่อมันลากเกวียนให้แล่นไม่ได้ มันก็สลัดแอกนั้นเสีย - ทรงทำนายว่า ในภายหน้าเมื่อผู้มีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม แทนที่จะยกย่องและมอบหมายหน้าที่ ให้กับผู้มีสติปัญญา ความรู้ กลับไปมอบยศศักดิ์ให้กับคนหนุ่มที่อ่อนหัด ด้อยประสบการณ์ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี กิจการต่างๆ ก็ไม่สำเร็จ ก็เหมือนใช้โครุ่นมาเทียมแอก เกวียนก็แล่นไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น

5. ทรงฝันว่าเห็นม้าตัวหนึ่ง มีปากสองข้าง ฝูงชนก็เอาหญ้าไปป้อนที่ปากทั้งสองข้าง มันก็กินทั้งสองข้าง - ทรงทำนายว่า ในอนาคตเมื่อผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจไม่ดำรงอยู่ในธรรม ตั้งคนพาล หรือคนไม่มีศีลธรรมไว้ในตำแหน่งอันมีผลต่อผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะไม่นึกถึงบาปบุญ คุณโทษ แต่จะตัดสินคดีต่างๆ ตามแต่ใจชอบ โดยเอาสินบนจากทั้งสองฝ่ายเป็นประมาณ ดังม้าที่กินหญ้าทั้งสองปาก

6. ทรงฝันว่าฝูงชนเอาถาดทองราคาแพง ไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง พร้อมเชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกตัวนั้น ถ่ายปัสสาวะใส่ถาดทองนั้น - ทรงทำนายว่า ต่อไปคนดีมีสกุลทั้งหลายจะสิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำ หรือคนพาลจะได้เป็นใหญ่เป็นโต และคนมีตระกูล ก็จะต้องยกลูกสาว ให้แก่ผู้ไร้ตระกูลเหล่านั้น เหมือนเอาถาดทองไปให้หมาปัสสาวะรด

7.ทรง ฝันว่า มีชายคนหนึ่งนั่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปในที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตัวหนึ่ง นอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั้นนั่งอยู่ แล้วก็กัดกินเชือกนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว - ทรงทำนายว่า ในกาลข้างหน้า ผู้หญิงจะเหลาะแหละ โลเล ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ ประพฤติทุศีล แล้วก็จะเอาทรัพย์ที่สามีหาได้ด้วยความลำบากไปใช้ หรือให้ชายชู้ เหมือนนางหมาโซที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่น และหย่อนลงไว้ใกล้เท้า

8. ทรงฝันว่ามีตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมตุ่มหนึ่งวางอยู่ตรงประตูวัง แวดล้อมด้วยตุ่มว่างๆ เป็นอันมาก แต่คนก็ยังไปตักน้ำใส่ตุ่มที่เต็มอยู่ จนล้นแล้วล้นอีก โดยไม่เหลียวแลจะตักใส่ตุ่มที่ว่างๆ นั้นเลย - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อศาสนาเสื่อม คนเป็นใหญ่หรือมีอำนาจ จะเบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า คนที่รวยอยู่แล้ว ก็จะมีคนจนหารายได้ ไปส่งเสริมให้รวยยิ่งขึ้น ดังฝูงชนที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่มใหญ่ที่เต็มอยู่แล้วจนล้น ส่วนตุ่มที่ว่างอยู่กลับไม่ไปใส่น้ำ

9. ทรงฝันเห็นสระแห่งหนึ่ง มีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม และมีท่าขึ้นลงโดยรอบ สัตว์ต่างๆ ก็พากันดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่น้ำบริเวณที่สัตว์เหยียบย่ำจะขุ่น กลับใสสะอาด ส่วนน้ำที่อยู่ลึกกลางสระที่สัตว์ไม่ไปดื่มหรือ เหยียบย่ำแทนที่จะใส กลับขุ่นข้น - ทรงทำนายว่า ต่อไป เมื่อคนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ขาดเมตตา คอยใช้อำนาจ รีดนาทาเร้นหรือกินสินบน ชาวบ้านชาวเมือง ก็จะหนีไปอยู่ตามชายแดนหรือที่อื่นๆ ทำให้ที่นั้นๆ ที่คนพากันไปอยู่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เหมือนน้ำรอบๆ สระที่ใส ส่วนเมืองหลวงกลับว่างเปล่า เหมือนกลางสระที่ขุ่น

10. ทรงฝันว่า เห็นข้าวที่คนหุงในหม้อใบเดียวกัน สุกไม่เท่ากัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ข้าวแฉะ ข้าวดิบ และข้าวสุกดี - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อคนทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือตกไม่ทั่วถึง ทำให้การเพาะปลูกบางแห่งได้ผล บางแห่งก็ไม่ได้ผล เช่นเดียวกับข้าวที่มีสุกบ้าง ดิบบ้าง และแฉะบ้าง

11. ทรงฝันว่าคนนำแก่นจันทน์ที่มีราคาแพง ไปแลกกับเปรียงเน่า (อ่านว่า เปฺรียง มี 3 ความหมาย คือ 1. นมส้มผสมน้ำแล้วเจียวให้แตกมัน 2.น้ำมันจากไขข้อวัว และ 3.เถาวัลย์เปรียง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงเถาวัลย์เปรียง เทียบกับแก่นจันทน์ที่เป็นไม้เหมือนกันมากกว่า 2 ความหมายแรก) - ทรงทำนายว่า กาลภายหน้า พระภิกษุอลัชชีเห็นแก่ได้ทั้งหลาย แทนที่จะนำธรรมะ ที่พระพุทธองค์สอน ไปสอนสั่งให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ และละความโลภ กลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหากิน หาปัจจัยบริจาคเข้าตัวเอง เหมือนเอาแก่นจันทน์ (ธรรมะคำสอนที่ดี) ไปแลกเอาเถาวัลย์เน่า (ลาภอามิสที่ได้รับมา ซึ่งไม่จีรังและไม่ช่วยให้พ้นทุกข์จริงๆ ได้)

12. ทรงฝันเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ - ทรงทำนายว่า ต่อไปคำพูดของคน ที่ไม่ควรจะได้รับความเชื่อถือ กลับจะได้รับความเชื่อถือ โดยเปรียบถ้อยคำของคนที่ไม่น่าเชื่อว่ามีน้ำหนักเบาเหมือนกับผลน้ำเต้า ซึ่งปกติจะลอยน้ำ แต่เมื่อคนเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นมีน้ำหนัก หรือหนักแน่น จึงเปรียบคำพูดนั้นว่ามีน้ำหนัก ราวกับน้ำเต้าที่จมน้ำได้

13. ทรงฝันว่าศิลาแท่งทึบขนาดเรือน ลอยน้ำได้เหมือนเรือ - ทรงทำนายว่า ถ้อยคำของคนที่ควรได้รับการเชื่อถือ ซึ่งหนักแน่น มีน้ำหนักเปรียบประดุจแท่งศิลา กลับไม่ได้รับความเชื่อถือ หรือกลายเป็นถ้อยคำที่ไม่มีน้ำหนักเหมือน เรือที่ลอยได้ ข้อนี้ตรงกันข้ามกับข้อที่แล้ว คือ คนหันไปเชื่อคำพูดคนที่ไม่ควรเชื่อ เหมือนสิ่งที่ควรลอยกลับจม สิ่งที่ควรจมกลับลอย

14. ทรงฝันว่า ทรงเห็นฝูงเขียดตัวเล็กๆ วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่ และกัดเนื้องูเห่าขาดเหมือนกัดก้านบัว แล้วกลืนกินเข้าไป - ทรงทำนายว่า เมื่อมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส ราคะ สามีจะตกอยู่ในอำนาจของเมียเด็ก และจะถูกดุด่าว่ากล่าวเช่นเดียวกับคนรับใช้ เหมือนเขียดตัวเล็กๆ แต่กลับกินงูได้

15. ทรงฝันว่า ฝูงพญาหงส์ทอง ที่มีขนเป็นทอง ถูกแวดล้อมด้วยกา - ทรงทำนายว่า ในอนาคตผู้มีตระกูลต้องไปเที่ยวประจบ และสวามิภักดิ์ต่อผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกา

16. ทรงฝันว่า ฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลือง และกัดกิน ทำให้เสืออื่นๆ สะดุ้งกลัว จนต้องหนีไปแอบซ่อนตัวจากฝูงแกะ - ทรงทำนายว่าต่อไปภายหน้า คนชั่ว หรือคนที่ไม่ดีจะเรืองอำนาจ และใช้อำนาจเป็นธรรม ทำให้คนดีถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องหลบหนี ซ่อนตัวจากภัยร้ายเหล่านี้ เหมือนเสือซ่อนตัวจากแกะ

เมื่อพิจารณาความฝัน จะเห็นว่าหลายข้อในความฝัน เป็นสิ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ เช่น แม่โคกินนมลูกโค ม้าสองปาก เขียดกินงู และแกะกินเสือ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีนัยอันไปสู่พุทธทำนายทั้งสิ้น หลายคนอาจจะสงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ในสมัยพุทธกาล ทำไมฝันได้ไกลไปถึงอนาคต อันไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ได้ถึงเพียงนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าคงเป็นเพราะเทวดาดลใจ ให้พระองค์ฝันแปลกประหลาด เพื่อพระบรมศาสดาจะได้ฝาก "พุทธทำนาย" เป็นคำพยากรณ์อันอมตะไว้ เป็นเครื่องเตือนสติ ให้มนุษย์โลกได้ตระหนัก และระมัดระวังภัยพิบัตินานัปการ ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เพราะคงเล็งเห็นด้วยญาณวิเศษแล้วว่า นับวันคนเราก็จะห่างไกลจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ จนเป็นเหตุให้มนุษย์มุ่งทำลาย เอารัดเอาเปรียบทั้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อกอบโกยไปบำรุงบำเรอกิเลสแห่งตน โดยขาดความรัก ความเมตตาต่อกัน จึงทำให้คนเห็นแก่ตัว และมีผลให้สภาพแวดล้อม ธรรมชาติแปรปรวนไปหมด

ในปัจจุบัน เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง อันทำให้เพาะปลูกได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ปัญหาเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม เช่น เด็กและเยาวชนแก่แดดขึ้น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยเพิ่มขึ้น ลูกขาดความกตัญญู และความเคารพยำเกรงต่อพ่อแม่ อลัชชีหรือพระทุศีลมีมากขึ้น ชายแก่ตกอยู่ในอำนาจเมียเด็ก หรือปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เช่น คนขาดความรู้ประสบการณ์ ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจรับสินบน ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คนรวยยิ่งรวยเพราะมีช่องทาง และโอกาสเอาเปรียบคนจน เหมือนตุ่มใหญ่ที่คนตักน้ำไปใส่จนเต็มแล้วเต็มอีก แล้วปล่อยตุ่มเล็กให้ว่างเปล่า ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนไม่พ้นคำพยากรณ์ที่ทรงทำนาย บอกแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะเกิดขึ้นในอนาคตของสมัยโน้น ก็คือ สมัยนี้หรือปัจจุบันนั่นเอง

อย่าง ไรก็ดี ก็ยังมีพุทธทำนาย เพิ่มเติมที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า "....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้น จะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้น(ปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น...ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบ กลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศ มีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง

เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ (น่าจะหมายถึงพระศรีอาริยเมตตไตรย์)....จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนา ของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก 5,000 พระวรรษา…คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล" นี่คือพุทธทำนายที่ทรงตรัสไว้ กว่า 2500 ปีล่วงมาแล้ว ส่วนใครจะเชื่อ จะปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ก็คงเป็นไปตามกรรม ของแต่ละคนดังพระพุทธองค์ว่าไว้

โครงการอินเทล ทีช ปรับวิถีการเรียนในห้องเรียนทั่วโลก


อินเทลฉลองความสำเร็จ อบรมครูทั่วโลกครบ 10 ล้านคน
โครงการอินเทล ทีช ปรับวิถีการเรียนในห้องเรียนทั่วโลกหลายล้านโรงเตรียมความพร้อมให้นักเรียนกว่า 300 ล้านคน สู่ความสำเร็จในอนาคต
ในวันที่ 20กันยายน 2554 อินเทล คอร์ปอเรชั่น ฉลองความสำเร็จโครงการ อินเทล ทีช (Intel® Teach) ที่สามารถดำเนินการอบรมครูจนครบ 10 ล้านคนทั่วโลก โดยโครงการอินเทล ทีช ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งพัฒนาศักยภาพของครู เพื่อให้ครูเป็นบุคลากรที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะในการแก้ไขปัญหา คิดวิเคราะห์เชิงลึก และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “อินเทลมีความภาคภูมิใจที่มีโอกาสได้นำความเชี่ยวชาญทางด้านการศึกษาและเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบการศึกษาของไทยอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว ผ่านโครงการอินเทล ทีช ซึ่งเป็นโครงการที่อินเทลดำเนินการอย่างต่อเนื่อง  อินเทลเชื่อว่าครูคือบุคคลากรที่มีความสำคัญต่อการผลักดันให้นักเรียนประสบความสำเร็จ
โครงการ อินเทล ทีช ของ อินเทล คอร์ปอเรชั่น ให้การอบรมครูจนครบ 10 ล้านคนทั่วโลกในกว่า 70 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยมุ่งหวังเพื่อพัฒนาศักยภาพของครูให้สามารถบูรณาการเทคโนโลยีสู่การเรียนการสอน ตลอดจนส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะในการแก้ไขปัญหา คิดวิเคราะห์เชิงลึก และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อินเทลริเริ่มโครงการ อินเทล ทีช บนพื้นฐานความคิดที่เรียบง่ายว่า การศึกษา คือ ศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ของนักเรียน ผ่านการเรียนรู้ที่เน้นการทำโครงงานเป็นหลัก (project-based experience) แทนการฟังคำบรรยายจากครูหรือการท่องจำอินเทล ริเริ่มโครงการ อินเทล ทีช ในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2546 จนถึงปัจจุบัน เพื่อให้ครูสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าบูรณาการในหลักสูตรสำหรับชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  อินเทลคาดว่าจะมีครูที่ผ่านการอบรมหลักสูตรจากโครงการนี้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันคือ 130,000 คนเป็น 150,000 คนได้ภายในสิ้นปีนี้ 

การแต่งตัวสำหรับไปทำงาน คุณควรแต่งตัวแบบไหน

คุณ ประโยชน์ของชุดทำงานแบบลำลองซึ่งไม่เป็นทางการมากเกินไปนัก และไม่ใช่เครื่องแบบที่บังคับใช้ ช่วยให้บุคลากรขององค์กรสามารถแสดงออกซึ่งความคิดสร้างสรรค์ อันเป็นรสนิยมเฉพาะตัว และความเป็นตัวของเขาเองได้ชัดเจนมากกว่า นอกเหนือจากนี้เครื่องแต่งกายที่เอื้อให้เกิดความสะดวกสบายคล่องแคล่วในการ ทำงานยังช่วยให้ผลผลิตของงานทั้งในทางคุณภาพและปริมาณดีขึ้น อีกทั้งผู้ปฏิบัติงานก็มีความพึงพอใจในการทำงานและมีความสุขในการปฏิบัติ หน้าที่ในที่ทำงานตามไปด้วย
UploadImage
 
          อย่าง ไรก็ตาม ระดับและลักษณะแห่งความลำลอง ของชุดทำงานควรอยู่ในขอบเขตจำกัดที่เหมาะสมพอดี ไม่ตามสบายมากเกินไปจนดูน่าเกลียดและไม่น่าดู ความไม่เหมาะสมอันเนื่องมาแต่ลักษณะการแต่งกายที่ตามสบายมากจนเกินไปมาทำงาน ทำให้บุคลากรผู้แต่งชุดทำงานลำลองเกินกว่าเหตุนั้น "ดูไม่ดี" ประหนึ่งเป็นผู้ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้ความเหมาะและควร
 
          วันนี้ เราจะมาพิจารณาว่าข้อควรงดเว้นหรือสิ่งที่ไม่ควรกระทำในการแต่งกายชุดทำงาน แบบลำลอง หรือการแต่งกายมาทำงานอย่างสบายๆ ไม่เป็นทางการมีในประการใดบ้าง
 
          ข้อควรงดเว้นในการแต่งกายชุดทำงานแบบลำลอง 
 
          รองเท้าแตะณ สถานที่ทำงานใดๆ ก็ตามถึงหากแม้นว่าองค์กรแห่งนั้นจะเปิดโอกาสให้บุคลากรในทุกระดับแต่งกาย ตามสบายมาทำงานได้มากเพียงใดก็ตาม ก็เป็นการมิบังควรอย่างยิ่งที่พนักงานบางคนจะถือโอกาสสวมรองเท้าแตะมาทำงาน ไม่ว่ารองเท้าแตะคู่นั้นจะสวยหรือแพงมากเพียงใด เพราะรองเท้าแตะก็คือรองเท้าแตะอยู่วันยังค่ำ แบบและราคาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรองเท้าแตะให้กลายเป็นรองเท้าชนิดอื่นไปได้
 
          ทั้ง นี้ เนื่องจากระดับของรองเท้าแตะมีความจำกัด คือ เหมาะที่จะสวมอยู่ที่บ้าน หรือตามสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งพักผ่อนที่มีน้ำ เช่น บริเวณชายหาดเท่านั้น ทั้งนี้หมายรวมไปถึงรองเท้าแตะชนิดรัดส้นของคุณสุภาพบุรุษ ซึ่งก็ไม่อนุโลมให้นำมาใช้ ณ สถานที่ทำงานด้วยเช่นกัน และไม่ว่าจะใช้กับถุงเท้าหรือโดยปราศจากถุงเท้าก็ตามรองเท้าแตะทุกชนิดทุก ประเภท ไม่ควรนำมาใช้กับชุดทำงานแบบลำลองทั้งสิ้น
 
          เสื้อยืดคอกลมขอความกรุณาคุณสุภาพบุรุษโปรดอย่าคิดว่าเป็นเรื่องสนุกหรือมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความเป็นกันเองมากๆ ในที่ทำงานชนิดที่ว่าให้เกิดความครื้นเครง คึกคะนองอย่างสุดยอดโดยการสวมเสื้อยืดคอกลมสีสันฉูดฉาด อีกทั้งมีภาพและถ้อยคำดึงดูดใจให้คิดไปได้หลายทาง สองแง่สองมุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชิงหยาบโลน เสื้อยืดคอกลมแนวดังกล่าวเหมาะที่จะสวมใส่ไปท่องเที่ยวในย่านที่มีนักท่อง เที่ยวคึกคะนอง เช่น แหล่งชุมชนยามราตรีบางแห่ง คงเป็นการเหมาะสมกว่าที่ทำงาน
 
          ใน ขณะที่พนักงานบางท่านขององค์กรแห่งวิชาชีพอาจมีความคิดว่า เสื้อยืดคอกลมสวมสบายทำให้ดูเป็นกันเองแบบสนุกๆ ง่ายๆ แต่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ รวมทั้งผู้บังคับบัญชาและลูกค้าอาจไม่สนุกด้วยเพราะดู "มักง่าย" เกินไป ผู้พบเห็นทั้งปวงอาจคิดไปได้ว่า การสวมเสื้อยืดคอกลมมาทำงานนั้น เป็นการกระทำของบุคลากรผู้ช่างไม่มีความคิดเอาเสียเลย จนไม่อาจสามารถหยั่งรู้ถึงความเหมาะควรในเรื่องเครื่องแต่งกายชุดทำงาน เสื้อยืดคอกลมมีความหมายแห่งสารหรือเมสเซสในตัวของมัน ที่สื่อให้ผู้อื่นเห็นว่าผู้สวมตระหนักในความเหมาะและควรมากน้อยเพียงใด
 
          เสื้อผ้าอันมีขนาดไม่พอเหมาะพอดีกับรูปร่างเครื่องแต่งกายที่คับเกินไป หรือในทางตรงข้ามหลวมมากเกินไป มิได้ช่วยให้ผู้สวมใส่ดูดีเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าที่คับติ้วรัดรูปมากเสียจนดูเสมือนว่าตะเข็บแทบ ปริเป็นแห่งๆ ทำให้ผู้พบเห็นเกิดเวทนาขึ้นในใจ ชวนให้ปลงสังเวชต่อทุกรกิริยาของสังขารที่ได้เห็น
 
          ฝ่าย เสื้อผ้าที่หลวมโพลกเพลกก็ทำให้ผู้สวมมีสภาพใกล้เคียงกับหุ่นไล่กา กางเกงหลวมแนวแร็พ แบบที่กลุ่มวัยรุ่นในชุมชนแออัดบางแห่งในประเทศสหรัฐอเมริกานิยม ซึ่งรู้จักกันทั่วไปว่า สตรีต ลุค คือกางเกงที่มีขนาดใหญ่มาก หลวมมาก และขายาวมากกว่าขนาดที่พอดีกับรูปร่างของผู้สวมใส่ คงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ในที่ทำงาน โดยเฉพาะชายขาของกางเกงที่ยาวเกินต้องการจนลากไปตามพื้นดูไม่สะอาดเลย โปรดกรุณาอย่าสร้างภาพลักษณ์ของตนเอง ณ ที่ทำงานในแบบฉบับที่เป็นกลุ่มเดียวกันกับขาโจ๋วัยจ๊าบผู้ชอบใช้เวลาเป็น วันๆ โดยไม่สนใจจะทำงานอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน หรือที่เป็นประโยชน์นอกจากการฟังเพลงแร็พ และเข้ากลุ่มเพื่อนอยู่ตรงหัวถนนหรือปากซอยซึ่งแน่นอนครับ มันเป็นคนละบรรยากาศกับสถานที่ทำงานของบุคลากรในวิชาชีพ ซึ่งต้องการศักยภาพในการทำงาน
 
          ฉะนั้น เสื้อผ้าที่มีขนาดไม่พอเหมาะพอดีกับรูปร่างของผู้สวมใส่ทั้งสองประการ คงไม่ใช่เครื่องแต่งกายที่สมควรจะนำมาใช้เป็นชุดทำงานในองค์กรที่ต้องการ บุคลากรระดับมืออาชีพ
 
          การเปลือยเนื้อหนังบริเวณที่ปกติควรปกปิดขอความกรุณาคุณสุภาพบุรุษผู้ประสงค์จะแต่งกายชุดลำลองไปทำงาน โปรดงดโชว์ผิวหนังบริเวณอวัยวะส่วนต่ำล่างสุดของร่างกาย คือ เท้า ข้อเท้า และน่องที่ปราศจากถุงเท้า เพราะอวัยวะบริเวณนี้ปกติแล้วควรปกปิด ขณะประจำการที่ทำงาน ถุงเท้าที่เราใช้ควรให้แน่ใจว่ามีขนาดความยาวมากพอที่จะหุ้มข้อเท้า และน่องในขณะเมื่อเรานั่งหรือไขว่ห้าง
 
          "การ ห้าม" ในข้อนี้ คงต้องรวมไปถึงกรณีการงดใช้เสื้อทุกชนิดที่เป็นแบบแขนกุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสื้อกล้าม เพื่อสวมไป ณ สถานที่ทำงานด้วยเช่นกัน การสวมเสื้อที่มีคอ และแขนตลอดจนรองเท้าหุ้มส้น และถุงเท้าที่มีความยาวมากพอจะช่วยปกปิดผิวหนัง ของอวัยวะส่วนที่ควรปกปิดให้มิดชิดพ้นสายตาผู้พบเห็น เป็นสิ่งที่พึงกระทำและเป็นการแต่งกายที่ช่วยมิให้ดูตามสบายหรือลำลองมากจน เกินความพอดี

"โซนี่ มิวสิค เปิดตัว “ไอ-ฮัม สตรีม” สุดยอดคลังเพลงยุคดิจิตอลมิวสิค


โซนี่ มิวสิค เปิดตัว ไอ-ฮัม สตรีม คลังเพลงยุคดิจิตอลมิวสิค 
พร้อมเสิร์ฟคอนเทนต์สตรีมมิ่งผ่าน 3G เน็ตเวิร์ก
UploadImage
 โซนี่ มิวสิค สบช่องว่างทางการตลาด ด้วยการเปิดตัวแอพพลิเคชั่นใหม่ล่าสุด ภายใต้ชื่อ “ไอ-ฮัม สตรีม” (i-hUMM Stream) คลังเพลงยุคดิจิตอลมิวสิค พร้อมเสิร์ฟคอนเทนต์สตรีมมิ่งผ่าน 3G เน็ตเวิร์ก ไอ-ฮัม สตรีม (i-hUMM Stream)  จะ เปรียบเสมือนคลังเพลงของโซนี่มิวสิค ที่จะให้คุณได้รับชมมิวสิควีดีโอและเบื้องหลังการทำงานของศิลปินต่างๆใน สังกัดโซนี่มิวสิคทั้งในอดีตและปัจจุบันในรูปแบบของการสตรีมมิ่งคอนเทนต์ ด้วยวิธีง่ายๆเพียงคุณดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นที่มีชื่อว่า i-hUMM Stream” จาก App Store ลงมาไว้ในไอโฟนของตัวเอง
UploadImage

เคล็ดลับ เรียนยังไงให้ได้เกรดเพิ่ม....?


การจะเพิ่มเกรดเฉลี่ยจริงๆแล้วไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเกินไปนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยซะทีเดียว เพราะน้องๆต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างออกไป ซึ่งพฤติกรรมเหล่านั้นน้องๆหลายคนติดจนเป็นนิสัยไปเสียแล้ว แต่ไม่มีอะไรยากเกินไปแน่นอน ถ้าเราตั้งใจทำจริง เอาหละครับที่นี้เรามาเข้าเรื่องกันเลยกว่า พี่มี 5 ข้อสำหรับน้องที่ต้องพยายามปฎิบัติให้ได้นะครับ ถ้าทำได้ตามนี้ รับรองเกรดพุ่งแน่ๆครับ
1. ข้อนี้ง่ายๆครับไม่ยาก นั้งแถวแรกของห้องเรียน น้องๆ ส่วนใหญ่ 80% ที่เกรดไม่ดีจะนั่งหลังห้อง บางครั้งอาจารย์พูดสอนอะไรอาจจะได้ยินไม่ชัดเจน หรือบางครั้งถ้าเราไม่รู้จักควบคุมตัวเองก็จะไขว่เขวได้ง่าย เพราะฉะนั้นมานั้งหน้าห้องซะดีๆ
2. เอาหนังสือมาเรียนด้วยทุกครั้ง (ย้ำว่าต้องเป็นของตัวเองนะครับ) พอเราปรับพื้นที่มานั่งโซนหน้าห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่นี่ได้ยินได้เห็นสิ่งที่อาจารย์สอนชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ก็จดสิ่งที่เป็นประโยชน์ลงไปในหนังสือทุกครั้ง จะได้เก็บเอาไปทบทวนที่บ้านได้ด้วย
3. ทำการบ้านเองทุกครั้ง เมื่อมีสมาธิกับการเรียนแล้ว พี่คิดว่าเราคงพอจะทำการบ้านเองได้บ้าง ถ้าวิชาไหนไม่ไหวจริงๆก็ถามเพื่อน คิดว่าน่าจะช่วยให้ผลการเรียนดีขึ้นมาในระดับที่น่าพอใจเลยทีเดียว
4. บททวนบทเรียน เราตั้งใจเรียน ทำการบ้านเอง ทบทวงอีกเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วครับ
5. เลือกคบเพื่อน เพื่อนที่เราคบอยู่มีส่วนมากๆเลยนะครับที่จะช่วยทำให้ผลการเรียนดีขึ้น (ไม่ได้ให้ไปเลิกคบเพื่อนที่คบอยู่นะครับ) แค่ออกห่างมานิดหน่อยแล้วเปิดใจคบเพื่อนกลุ่มใหม่บ้าง เลือกคบเพื่อนที่ดูแล้วเขาสามารถช่วยเหลือเรื่องการเรียนเราได้บ้าง มีอะไรจะได้ปรึกษาหารือกัน
ถ้าทำทั้ง 5 ข้อนี้ได้รับรองเกรดเพิ่ม แน่ ๆ ทุกข้อที่กล่าวมาไม่ได้อยากเลยนะครับ ตั้งใจ ใส่ความพยายามลงไปสักนิด คิดว่ายังไงก็ต้องสำเร็จครับ

5 ข้อง่ายๆ ถ้าทำได้ ไม่ตกงาน


ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงของตลาดแรงงานบ้านเรา เด็กจบใหม่ตัวน้อยๆอย่างเราจะไปหางานยังไง ถึงจะได้งานกับเขาซะที ?!? เชื่อว่าคำถามเหล่านี้คงวนเวียนอยู่ในสมองของน้องๆหลายคน น้องๆรู้ไหมครับ ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีนักศึกษาจบใหม่ราว 4 แสนคน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่มากเลยทีเดียว แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะได้งานที่ดีและมั้งคง ผลตอบแทนที่คุ้มค่า

1. วางแผนเลือกคณะ - เลือกคณะที่เหมาะกับตัวเองจริงๆ เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นคณะที่ไม่เป็นที่ต้องการของตลาดแต่เรารักและชอบ ทุ่มเทจริงๆจบมายังไงก็ไม่ตกงาน แต่อย่าลืมร่วมกิจกรรม สะสมผลงาน ด้วยนะ
2. เป็นนักศึกษาที่มีคุณภาพ -  ตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง แบ่งเวลาสำหรับการเรียนและการทำกิจกรรมให้ดีเพราะถ้าแบ่งไม่ถูก ให้ความสำคัญกับบางอย่างมากเกินไปก็ไม่ดี ทำอะไรให้ได้อย่างต่ำเท่าที่เรียนมา ไม่ใช้เรียนมาแต่ลืม ทำไม่ได้ ตรงนี้อาจารย์ไม่ได้สอน ไปสัมภาษณ์ที่ไหนก็ตกหมด เพราะวิชาหลักที่น้องๆเลือกเรียนน้องๆยังไม่แตกฉานเลย บริษัทไหนจะกล้ารับเข้าทำงาน จริงไหม?
3. ภาษาอังกฤษและอื่นๆ - เชื่อไหมมีน้องๆ จำนวนมากไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ถ้าภาษาที่ 2 ไม่แข็งแรง ภาษาที่ 3 ไม่ต้องพูดถึงเลย ในการทำงานจริงภาษาสำคัญมากๆ ถ้าภาษาเราแข็งแรงเราสามารถเลือกงานได้หลากหลาย
4. ความมั่นใจ - เวลาไปสัมภาษณ์งานพกคำนี้ใส่กระเป๋าไปด้วย แสดงให้นายจ้างเห็นว่าเรามีความสามารถ ความมุ่งมั้ง และมีความต้องการที่จะทำงานนี้จริงๆ
5. ไม่เลือกงาน - อย่าเลือกงานเพราะว่างานครั้งแรกส่วนใหญ่จะเป็นงานเพื่อเอาความรู้จากการทำ งาน ทำให้เรามีประสบการณ์สามารถที่จะสมัครงานอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้นในอนาคตนั่นเอง

iPhone 5 เปิดตัวทางการ 4 ตุลาคม 2554 พร้อมดัน Tim Cook เป็นพ่องานหลักแทน Steve Jobs!


ท่าจะไม่หนีไปจากเดือนตุลาคมนี้เสียแล้วสำหรับกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ iPhone 5ที่ใครหลายคนรอคอย โดยล่าสุดคุณ John Paczkowski กูรูจากเว็บไซต์ All Things D ออกมาเปิดเผยว่าเขาได้รับรายละเอียดวงในจาก Apple ที่ระบุว่ายักษ์ใหญ่จาก Cupertino จะเปิดตัวiPhone 5 อย่างเป็นทางการในวันที่ 4 ตุลาคม 2554 นี้แล้ว!
นอกจากนี้ผู้ที่จะมารับหน้าเสื่อเป็นผู้กล่าว keynote เพื่อเปิดตัวและแนะนำ iPhone 5 ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคุณ Tim Cook ซึ่งรับสืบทอดตำแหน่ง CEO ของบริษัท Apple มาจากเฮีย Steve Jobs ที่เพิ่งจะตัดสินใจก้าวลงจากบัลลังก์ของ Apple ไปเมื่อไม่นานนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่ Apple เปิดตัว iPhone 3GS ในปี 2009 พวกเขาได้ส่ง Phil Schiller ขึ้นมารับหน้าที่หลักบนเวทีแทน Steve Jobs ที่ขอลาป่วยไปนั่นเอง
ขณะเดียวกันหาก iPhone 5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงเวลาดังกล่าวจริงก็จะสอดคล้องกับข่าวลือก่อน หน้านี้ที่ผู้บริหาร France Telecom ได้ออกมาเปิดเผยว่า iPhone 5 อาจจะพร้อมวางจำหน่ายสู่วงกว้างในอีก 1-2 สัปดาห์ต่อมาหรือราวกลางเดือนตุลาคมนี้ (15 ตุลาคม) อีกต่างหาก

Update: ล่าสุดคุณ Jim Dalrymple จากเว็บไซต์ The Loop ก็ได้ออกมาคอนเฟิร์มด้วยอีกคนว่า 4 ตุลาคม 2554 นี้คือดีเดย์ที่ Apple จะเปิดตัว iPhone 5 อย่างเป็นทางการเช่นเดียวกัน

25 วิธี Take Care ความรัก (i DO)

ความรักทำให้ชีวิตมีความสุข ใครที่มีความรักและได้รับความรักตอบ ย่อมเป็นความสุขของชีวิต ในทางตรงกันข้ามหากรักที่เคยสร้างสุข กลายมาเป็นหมดรัก ชีวิตย่อมเป็นทุกข์ ความรักที่มีจึงต้องดูแลอย่างดี เพื่อให้ความรักนั้นไม่จากไป ดังเช่น 25 วิธี ต่อไปนี้…

1. อย่าเขินที่จะบอกรัก

2. จดจำรายละเอียดของอีกฝ่าย เช่น ชอบทานอะไร ชอบฟังเพลงแนวไหน กิจกรรมสุดโปรดคืออะไร แล้วหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้เสมอ

3. โรแมนติกอย่างรู้กาละเทศะ เลือกสถานที่ให้ถูกที่ เลือกเวลาให้ถูกเวลา เรื่องโรแมนซ์ใครก็ชอบ แต่ความพอเหมาะพอดีก็สำคัญ

4. ให้เกียรติกันและกันเสมอ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

5. อย่าปล่อยให้อารมณ์โกรธอยู่เหนือความรักที่มี นึกถึงเรื่องดีๆ ที่เขาเคยทำให้ จะช่วยให้อารมณ์โกรธหรืออารมณ์ชั่ววูบเบาบางลง

6. เมื่อมีปัญหาควรใช้เหตุผลในการพูดคุย เป็นเรื่องธรรมดาที่คนสองคนจะมีเรื่องขัดแย้ง แต่ถ้าทั้งคู่พร้อมที่จะปรับตัวเข้าหากัน ปัญหาทั้งหลายก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก

7. ปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาเป็นของตัวเอง การเกาะติด ควบคุมมีแต่จะทำให้ความรักจืดจางได้ง่าย ปล่อยให้อีกฝ่ายไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง รวมทั้งพยายามให้ตัวเองมีโลกส่วนตัวบ้าง จะได้ไม่อึดอัดเช่นกัน

8. พูดกันตรง ๆ โดยเลือกใช้คำพูดที่ไม่ทำร้ายจิตใจ

9. มีขอบเขตในการปรับตัว แน่นอนว่าต่างฝ่ายทั้งเราและเขาต่างต้องปรับตัวเข้าหากัน แต่ควรมีขอบเขต ไม่ใช่ยอมเปลี่ยนแปลงให้เป็นแบบที่อีกฝ่ายต้องการทุกอย่าง จนไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง เพราะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนอื่นได้ตลอดกาล

10. ห้ามโกหก ผลลับที่ร้ายแรงของการโกหกคือ ต่างฝ่ายจะไม่สามารถเชื่อใจกันได้อีก

11. อย่าคาดคั้นหาคำตอบหาอีกฝ่ายยังไม่พร้อม การดึงดันให้รู้เดี๋ยวนั้น ว่าทำไม? เพราะอะไร? จะเอายังไง? เป็นการกดดันอีกฝ่ายอย่างไม่มีประโยชน์ หากอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ควรลองถอยออกมาหนึ่งก้าว ทำใจให้สงบ รอจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะพร้อม แล้วค่อยคุยกันใหม่ก็ยังไม่สาย

12. ดูแลตัวเองให้ดูดีเสมอ

13. ไม่ควรคาดหวังกับความรัก เพราะเป็นเรื่องความรู้สึกของคนสองคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ และไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว อย่าคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะทำนั่นทำนี้ให้ เพราะถ้าผิดหวังจะเสียใจทั้งสองฝ่าย ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

14. ห้ามพูดถ้อยคำหยาบคาย จะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน ก็ห้ามด่าทอกันเสียๆ หายๆ

15. ซื่อสัตย์และไว้ใจกัน

16. หาสิ่งของที่ต้องดูแลร่วมกัน เช่น เลี้ยงสัตว์ ต้นไม้ หรือกิจการเล็กๆ เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างสองคน

17. ให้โอกาสอีกฝ่ายแก้ไขข้อผิดพลาด กับคนที่เรารักยิ่งต้องให้อภัยและให้โอกาส

18. อย่าอายที่จะขอโทษ

19. หากิจกรรมสร้างสรรค์ทำร่วมกัน เช่น ชวนกันเล่นกีฬา ไปดูงานศิลปะ เพื่อให้ความรักสดใส และได้พบสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต

20. นึกถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายเสมอ อย่ามัวแต่คิดว่าทำไมอีกฝ่ายไม่เข้าใจเรา นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังทำให้เป็นคนขี้น้อยใจอย่างไม่มีเหตุผล

21. รู้สึกดีกับสังคมที่อยู่ ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน เพื่อยกระดับจิตใจและทำให้ภูมิใจในตัวเอง

22. อย่าปิดกั้นโอกาส เปิดตัวเองให้รู้จักกับคนใหม่ๆ เพราะการได้รู้จักคนที่หลากหลาย จะทำให้รู้คุณค่าคนใกล้ตัวและรู้ใจตัวเอง

23. รู้จักใช้ภาษากายในการสัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย เช่น จับมือ ลูบหลัง เพราะสามารถสื่อความในใจได้ดีกว่าคำพูดในหลายโอกาส

24. คิดถึงอนาคต แต่อย่าพูดบ่อยจนกลายเป็นการควบคุมผูกมัด พูดในจังหวะที่เหมาะสม ให้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในแผนการอนาคตของกันและกัน

25. รู้จักรักตัวเอง เพื่อให้สามารถรักคนอื่นได้เช่นกัน

จิตวิทยาทั่วไป พฤติกรรม และ บุคลิกภาพ พบพฤติกรรมชอบโชว์ออฟ สมอง-สิ่งแวดล้อม เป็นตัวบงการ


นักวิจัยพบสาเหตุที่ทำให้คนเรามีแนวโน้มกล้าเสี่ยงมากขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น
 
เอเจนซีส์ – ผลศึกษาชี้การโชว์ออฟและทำพฤติกรรมกล้าบ้าบิ่นต่อหน้าคนอื่น เป็นผลมาจากสารเคมีในสมอง และเมื่ออยู่คนเดียว คนเหล่านั้นมีแนวโน้มน้อยมากที่จะทำพฤติกรรมดังกล่าว

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย (ยูเอสซี) สามารถพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผลักดันให้คนเราทำสิ่งโง่เขลาต่อหน้าธารกำนัลคือธรรมชาติ ไม่ใช่เกิดจากการเลี้ยงดูอบรมแต่อย่างใด
      
ทีมนักวิจัยพบว่า สมองส่วน striatum ซึ่งเกี่ยวข้องกับรางวัล และส่วน medial prefrontal cortex ที่ควบคุมการคิดหาเหตุผล ทำงานหนักขึ้นเมื่อเราอยู่ในหมู่เพื่อนฝูง
อาสาสมัครในการศึกษา ต้องป้อนตัวเลขเพื่อซื้อล็อตเตอรี่ และนักวิจัยพบว่าสมองสองส่วนดังกล่าวทำงานหนักขึ้นเมื่ออาสาสมัครพบว่าตัวเองถูกรางวัลขณะที่มีเพื่อนแวดล้อมอยู่ มากกว่าขณะที่อยู่ตามลำพัง
      
นอกจากนั้น อาสาสมัครที่ถูกรางวัลขณะอยู่กับเพื่อนๆ ยังมีพฤติกรรมกล้าเสี่ยงมากขึ้นในการซื้อล็อตเตอรี่ครั้งต่อไป
จิออร์จิโอ คอริเซลลี แห่ง วิทยาลัยอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ดอร์นไซฟ์ ของ ยูเอสซี ผู้นำการศึกษา กล่าวว่าการค้นพบนี้บ่งชี้ว่า สมองถูกตั้งโปรแกรมให้สามารถตรวจพบและถอดรหัสสัญญาณทางสังคม ทำให้สัญญาณนั้นโดดเด่นขึ้นมา และใช้สัญญาณเหล่านั้น
      
คอริเซลลีเชื่อว่า สภาพแวดล้อมกลุ่มมีแนวโน้มทำให้ผู้ชนะพร้อมทุ่มเททรัพยากรทั้งหมด ตัวอย่างที่ชัดเจนคือในการแข่งขันเพื่อพิชิตใจเพศตรงข้าม

“ในหมู่สัตว์ มีแรงกระตุ้นอย่างชัดเจนในการเป็นจ่าฝูง เพื่อใช้สถานะนั้นเข้าถึงทรัพยากรก่อนตัวอื่น เช่น อาหารและการผสมพันธุ์”

แบบทดสอบจิตวิทยา คุณใช้สมองซีกไหนมากกว่ากัน


เพียงแค่มองภาพนี้เท่านั้น แล้วตอบว่า คุณเห็นภาพนี้หมุนทวนเข็ม หรือ ตามเข็มนาฬิกา...
 
UploadImage

พอได้คำตอบแล้วมาเฉลยกันดีกว่า

แบบ A เห็นทวนเข็มแสดงว่า ใช้สมองซีกซ้ายมากกว่าซีกขวา
แบบ B เห็นตามเข็มแสดงว่า ใช้สมองซีกขวามากกว่าซีกซ้าย

แล้วมันเป็นยังไงหรือ นี่ไง...

แบบ A สำหรับคนที่ใช้สมองซีกซ้ายมากกว่า .. คุณมีแนวโน้มที่จะ ...
• ตัดสินใจโดยใช้เหตุผล
• สนใจรายละเอียด
• อยู่บนพื้นฐานของความจริงมากกว่าการคาดการณ์
• มีความสามารถในการเลือกใช้ศัพท์และมีความสามารถทางภาษาศาสตร์
• สนใจในอดีตมากกว่าอนาคต
• มีความสามารถทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
• มีความสามารถในการทำความเข้าใจเรื่องที่มีความซับซ้อนได้เร็ว
• รอบรู้
• ยอมรับผู้คนหรือเรื่องราวใหม่ๆได้ง่าย
• มีระเบียบวินัย
• จดจำชื่อต่างๆได้ดี
• อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง
• วางกลยุทธ์ต่างๆได้ดี
• เน้นผลในทางปฎิบัติ
• ปลอดภัยไว้ก่อน


 แบบ B สำหรับคนใช้สมองซีกขวามากกว่า .. คุณมีแนวโน้มที่จะ …
• ให้ความสำคัญกับอารมณ์และความรู้สึก
• ตัดสินใจจากภาพรวมมากกว่ารายละเอียด
• มีจินตนาการสูง
• มีความสามารถในทางตรรกศาสตร์
• สนใจอนาคตมากกว่าอดีต
• สนใจในทางปรัชญาและศาสนา
• เข้าใจประเด็นที่คนอื่นต้องการสื่อสารได้ดี
• ลึกซึ้งต่อเรื่องต่างๆ
• เป็นที่นิยมชมชอบ
• โยงประเด็นและความเกี่ยวเนื่องของเรื่องราวต่างๆได้ดี
• ชอบฝันเฟื่อง
• ประเมินผลกระทบสำหรับทางเลือกต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
• คึกคะนอง ... หรือในบางกรณีมุทะลุ
• เสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน

สุขภาพน่ารู้ นักวิจัย เทียบ ไวน์แดง กับการออกกำลังกาย !

เอเจนซี – ข้ออ้างใหม่สำหรับคอไวน์ นักวิจัยระบุสารเรสเวอราโทรล ที่เป็น ‘ส่วนผสมมหัศจรรย์’ ในไวน์แดงและช่วยชะลอความป่วยไข้ตั้งแต่โรคชราจนถึงมะเร็งนั้น ยังมีฤทธิ์คล้ายการได้ออกกำลังกายโดยไม่ต้องขยับเขยื้อนกล้ามเนื้อ เนื่องจากทำให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันโรคเบาหวาน
      
งานวิจัยในอดีตระบุว่า เรสเวอราโทรล ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน ซึ่งอาจเป็นข้อมูลรื่นหูสำหรับผู้ที่ชอบนอนจับเจ่าอยู่กับตัวขี้เกียจบนโซฟา
      
“มีข้อมูลชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่าร่างกายคนเราต้องการการออกกำลังกาย แต่พวกเราบางคนอาจรู้สึกทำใจลำบากที่จะลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย
      
“แม้ไม่ใช่สิ่งที่จะมาชดเชยการออกกำลังกายได้ แต่เรสเวอราโทรลอาจช่วยชะลอผลลบจนกว่าเราจะยอมออกกำลังกายกันเสียที” เจอรัลด์ เวสแมนน์ บรรณาธิการวารสาร FASEB ที่เผยแพร่งานวิจัยล่าสุดฉบับนี้ ระบุ
      
เพื่อศึกษาว่าเรสเวอราโทรลมีผลเช่นเดียวกับการออกกำลังกายหรือไม่ ทีมนักวิจัยฝรั่งเศสจึงจัดทำการทดลองโดยทำให้หนูอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก ที่ใกล้เคียงกับสภาพนักบินอวกาศในอวกาศ
      
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอันสืบเนื่องจากการขาดแรงโน้มถ่วง รวมถึงการหมุนเวียนของเลือดช้าลง และกล้ามเนื้อเหลว ใกล้เคียงกับสภาพผู้ป่วยที่ต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียง หรือคนที่ออกกำลังกายเล็กน้อยหรือไม่ออกเลย
      
อย่างไรก็ตาม รายงานที่อยู่ในวารสาร FASEB ระบุว่า หนู ‘อวกาศ’ ส่วนหนึ่งได้กินเรสเวอราโทรลทุกวัน
      
นักวิจัยพบว่า หนู ‘อวกาศ’ ที่ไม่ได้กินเรสเวอราโทรล กระดูกเปราะและกล้ามเนื้ออ่อนแอและอ่อนแรง
      
สำหรับผู้ที่ต้องการกำลังใจในการนั่งลงตรงหน้าไวน์แดงสักแก้ว งานวิจัยในอดีตยังเชื่อมโยงเครื่องดื่มชนิดนี้กับรอบเอวที่บางลง
      
การศึกษาและติดตามผลผู้หญิงเกือบ 20,000 คนระยะยาวพบว่า คนที่ดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์แดง วันละ 1-2 แก้ว มีน้ำหนักน้อยกว่าคนที่ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำอัดลม

สุขภาพน่ารู้ เตือนสารเคมีในบรรจุภัณฑ์อาหาร ส่งผลให้ ผู้ชาย มี เสน่ห์ น้อยลง


 สารบีพีเอที่พบในบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม อาจทำให้ผู้ชายเป็นที่สนใจจากสาวๆ น้อยลง
 
 
เอเจนซี – นักวิจัยเตือนสารเคมีที่ทำให้เพศเปลี่ยนที่พบในบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม อาจทำให้ความสามารถในการดึงดูดเพศตรงข้ามของผู้ชายลดลง
      
งานศึกษาจากมหาวิทยาลัยมิสซูรีพบว่า หนูเพศผู้ที่ได้รับสารบิสฟีนอล เอขณะเป็นทารก มีลักษณะของเพศผู้น้อยลง แต่มีพฤติกรรมบ่งชี้ลักษณะเพศเมียมากขึ้น
      
ผู้ช่วยศาสตราจารย์เชอริล โรเซนเฟลด์ ผู้จัดทำรายงาน กล่าวว่าสารเคมีดังกล่าวไปยับยั้งการผลิตเทสโทสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายที่ผู้หญิงสามารถสัมผัสได้
      
“ลักษณะภายนอกของหนูที่ได้รับสารบีพีเอดูปกติดี แต่ที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือ หนูตัวเมียไม่ต้องการผสมพันธุ์กับหนูเหล่านั้น
      
“นอกจากนี้ หนูที่ได้รับสารบีพีเอยังทำคะแนนในภารกิจการนำทางเชิงตำแหน่ง ซึ่งเป็นการประเมินความสามารถในการค้นหาหนูตัวเมียในป่าต่ำที่สุด”
      
โรเซนเฟลด์สำทับว่า การค้นพบนี้อาจมีนัยครอบคลุมทั้งในแง่พัฒนาการและพฤติกรรมถึงสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่น ซึ่งรวมถึงมนุษย์ ที่มีความแตกต่างในด้านรูปแบบความคิดและพฤติกรรมโดยกำเนิดระหว่างเพศหญิงและเพศชาย
“ไม่ว่าผลการค้นพบนี้บ่งชี้ถึงภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์หรือไม่ แต่ถือเป็นสิ่งที่ต้องกังวลอย่างชัดเจน”
      
ทั้งนี้ บิสฟีนอล เอ หรือบีพีเอ เป็นสารเคมีที่ใช้ในการผลิตพลาสติก และเป็นหนึ่งในสารเคมีที่มีการผลิตอย่างกว้างขวาง พบได้ในสินค้าในชีวิตประจำวันนับร้อยรายการ อาทิ ขวดนม กล่องซีดี และบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ฯลฯ
      
เนื่องจากสารเคมีชนิดนี้เลียนแบบฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน นักวิทยาศาสตร์มากมายจึงเชื่อว่า บีพีเออาจไปรบกวนวิธีการที่ร่างกายแปรรูปฮอร์โมน
      
แม้การศึกษากับสัตว์ทดลองหลายฉบับแสดงให้เห็นว่าบีพีเอมีความปลอดภัย แต่การทดลองอีกหลายฉบับกลับเชื่อมโยงสารชนิดนี้กับโรคมะเร็งเต้านม การทำลายตับ โรคอ้วน โรคเบาหวาน และปัญหาในการเจริญพันธุ์
      
ในการศึกษานี้ หนูตัวเมียได้กินอาหารที่มีบีพีเอ 2 สัปดาห์ก่อนผสมพันธุ์และตลอดระยะเวลาการให้นม
      
ทั้งนี้ หนูตัวเมียเหล่านี้ได้รับสารบีพีเอในปริมาณที่เทียบเท่ากับที่สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) พิจารณาว่าไม่ก่อให้เกิดสารพิษและปลอดภัยสำหรับมารดา
      
หลังจากนั้นในช่วงหย่านม ลูกหนูจะได้กินอาหารที่ไม่มีสารบีพีเอ และถูกตรวจสอบพฤติกรรมเมื่อโตเต็มที่
      
นักวิจัยพบว่าลูกหนูที่ได้รับสารบีพีเอเป็นที่ต้องการของหนูตัวเมียน้อยกว่าปกติ โดยจะถูกหนูตัวเมียเชิ่ดจมูกใส่ ซึ่งตีความได้ว่าหนูตัวผู้ตัวนั้นไม่เหมาะสมทางพันธุกรรมที่จะผสมพันธุ์ด้วย
      
“เราสามารถใช้แนวทางวิวัฒนาการนี้ในการศึกษาสารบีพีเอเพื่อค้นหาวิธีการที่ดีที่สุดในการประเมินความแตกต่างของความเสี่ยงจากการได้รับสารเคมีชนิดนี้ระหว่างเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิง” เดวิด เกียรี ศาสตราจารย์วิทยาศาสตร์จิตวิทยา มหาวิทยาลัยมิสซูรี แสดงความคิดเห็น
      
อนึ่ง งานศึกษาชิ้นนี้เผยแพร่อยู่ในวารสารโปรซีดดิ้งส์ ออฟ เนชันแนล อะคาเดมี ออฟ ไซนส์

จิตวิทยาทั่วไป 6 กลิ่นหอม กระตุ้นการเรียนรู้


อัศจรรย์! พลังกลิ่นหอมจากธรรมชาติ ช่วยจำดี มีสมาธิเปิดรับสิ่งใหม่ สร้างความจำระยะยาวช่วงหลับลึก

กลิ่นหอมจากดอกไม้ หรือพืชสมุนไพรบางชนิด นอกจากจะบำบัดจิตใจ เปลี่ยนความอ่อนระโหยโรยแรงกลับกลายเป็นความสดชื่นแล้ว ผลวิจัยในต่างประเทศยังพบว่า ขณะนอนหลับความจำจะถูกประสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของ “กุหลาบ” สามารถกระตุ้นกระบวนการดังกล่าว ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ดีขึ้น

นอกจากกุหลาบแล้ว ยังมีอีก 5 กลิ่น ที่ให้ความหอมละมุนระหว่างวัน ช่วยเสริมพลังสมองเช่นกัน

โดย “กลิ่นโรสแมรี่ และ เปปเปอร์มินท์” กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของการพูด ฟัง และมองเห็น ขจัดความรู้สึกเฉื่อยชา กระตือรือร้นต่อการเรียนรู้จดจำเรื่องราว และส่งเสริมให้ความจำดีขึ้น

“กลิ่นลาเวนเดอร์ มะนาว และส้ม” กระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาท ช่วยลดความตึงเครียด วิตกกังวลน้อยลง

“กลิ่น” สามารถถ่ายทอดไปยังสมองได้เร็วกว่ากระแสประสาทชนิดอื่น จึงนิยมสกัด หรือแปรรูปจากดอกไม้-ส่วนต่าง ๆ ของพืชสมุนไพรข้างต้น แล้วนำความหอมอ่อน ๆ มาเป็นปัจจัยหนึ่งช่วยปรับอารมณ์-ความรู้สึกให้อยู่ระดับสมดุล พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่

จิตวิทยาทั่วไป อยู่ใกล้เหมือนห่างไกล!? ''เฟชบุ๊ก-ทวิตเตอร์'' คิดก่อนโพสต์....ลดสัมพันธ์สลาย

ปัจุบันสังคมไทยกลายเป็นสังคมเครือข่ายหรือโซเชียลเน็ตเวิร์กมากขึ้น ผู้คนนิยมสร้างเครือข่ายทางสังคมบนโลกเสมือนจริง  ไม่ว่าจะเป็นบนเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ เพื่อความสนุกสนานพบปะพูดคุยกับเพื่อน ๆ แต่หากเล่นในทางที่ผิดมักมีอันตรายซ่อนอยู่ดังที่ตกเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการ ถูกหลอกลวงทางเพศ ดาราโพสต์ข้อความด่ากัน หรือแม้กระทั่ง เป็นสาเหตุของการทำให้ครอบครัวแตกแยกหย่าร้างกัน ทำให้เทคโนโลยีกลายเป็นเสมือนดาบสองคมที่เราต้องเลือกใช้ให้เกิดประโยชน์!!
    
ดร.จิตรา ดุษฎีเมธา ประธานโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) อธิบายว่า โซเชียลเน็ตเวิร์กมีทั้งด้านดีและไม่ดี ด้านดีคือทำให้คนที่อยู่ไกลกันได้ติดต่อสื่อสารเสมือนว่าอยู่ใกล้กัน ส่วนด้านไม่ดีมีหลากหลายอย่าง ที่พบขณะนี้คือ กำลังสร้างความร้าวฉานในครอบครัวคนไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งหากย้อนกลับไปในอดีตจะพบว่าอัตราการหย่าร้างน้อยกว่าปัจจุบันมาก เพราะสมัยก่อนผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัวหาเลี้ยงภรรยาและลูกรวมถึงสาเหตุด้านวัฒนธรรมด้วย เช่น หากผู้หญิงที่แยกทางกับผู้ชายจะดูไม่ดีทำให้ผู้หญิงต้องอดทน

เมื่อเข้ามาอีกสมัยหนึ่งผู้คนมีการศึกษามากขึ้น ผู้หญิงมีความรู้มีหน้าที่การงานมากขึ้น จึงไม่ต้องพึ่งผู้ชายประจวบเหมาะกับสังคมเริ่มมีการพูดถึงสิทธิเสรีภาพ สิทธิสตรี ความเท่าเทียมกันและกฎหมายต่าง ๆ ทำให้ผู้หญิงสามารถดูแลตัวเองได้ หากผู้ชายดูแลไม่ดีหรืออยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เลิกราหรือหย่าขาดจากกันไป ทั้งนี้ ปัญหาที่ทำให้เลิกกันมีมากมาย ได้แก่ ปัญหาการสื่อสารในครอบครัว การไม่อดทนกัน ความเครียด เวลาไม่ตรงกัน การปรับตัวเข้าหากัน จึงเป็นปัญหาของความแตกแยกที่มีหลายปัจจัยคือ ความเข้าใจผิด น้อยอกน้อยใจ ความห่างเหิน ที่สำคัญคือจบลงไปด้วยการไม่พูดคุยกัน
    
ปัจจุบันมีโซเชียลเน็ตเวิร์กเข้ามาเป็นปัญหาให้ครอบครัวและคู่รักเพิ่มขึ้นในการบั่นทอนความสัมพันธ์ เพราะขณะนี้ปัญหาที่เกิดขึ้น คือหลายคู่ต่างคนต่างทำงานคนละที่กัน ทำให้เจอเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าต่างเพศมากมาย จนเกิดความระแวงไม่มั่นใจกัน โดยมีตัวเทคโนโลยีอย่างเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์เป็นตัวเชื่อมจนรู้สึกว่าคนใกล้กลับไกล คนไกลกลับใกล้ เพราะทำให้ทอดทิ้งคนที่อยู่ใกล้ตัว แต่ไปให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ไกลทำให้ครอบครัวไม่ค่อยได้พูดคุยกัน แต่มีเวลาไปทักทายเพื่อนใหม่ผ่านทางเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์มากขึ้น
 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสมัยนี้เวลาน้อยใจ เสียใจจะไม่ยอมพูดกันตรง ๆ แต่กลับระบายอารมณ์โดยการโพสต์ข้อความด่ากันในเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์เป็นการพูดลอย ๆ ไม่เอ่ยชื่อใคร เมื่อคนที่เข้ามาอ่านบังเอิญเป็นคู่กรณีอาจคิดไปเองจนทะเลาะกันจนบานปลาย ประกอบกับโซเชียลเน็ตเวิร์กจะมีคนที่สามที่สี่เข้ามาแสดงความเห็นด้วยยิ่งมีปัญหามากขึ้น โดยจะเห็นเป็นข่าวใหญ่โตในวงการดาราบ่อยครั้ง ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของเพื่อนและคนรักแย่ลง
    
บางครั้งสร้างความเข้าใจผิดให้คู่สามีภรรยา เช่น สามีภรรยาสมัครเฟซบุ๊กคนละบัญชี เมื่อต่างคนต่างเล่นก็จะไม่สนใจกัน เช่น กลับมาบ้านก็คุยกับเพื่อนในเฟซบุ๊กทันที ทำให้ต่างฝ่ายต่างสงสัยหรือไม่ไว้ใจกัน โดย ในต่างประเทศมีงานวิจัยระบุว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ ผู้ใช้ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายมีโอกาสกลับไปติดต่อกับแฟนเก่า ซึ่งบางคนแค่พูดคุยสอบถามสารทุกข์สุกดิบ บางคนติดต่อกันลับ ๆ จนเกิดปัญหาจนสุดท้ายหย่าร้างกันมากถึง 30% และเหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นแล้วในสังคมไทย
    
ยกตัวอย่าง 2 เคส คือ

เคสแรกเกิดกับคู่รักที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน โดยฝ่ายหญิงมีเพื่อนเก่าเป็นผู้ชายที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศและโพสต์ข้อความที่หน้ากระดานในเฟซบุ๊กของฝ่ายหญิงว่าเพิ่งลงจากเครื่องคิดถึงจังเลยกำลังจะไปหาที่บ้าน แต่ฝ่ายหญิงไม่ได้เปิดเฟซบุ๊กดูข้อความดังกล่าว ประจวบเหมาะกับวันนั้นมีงานเยอะมากจึงคุยกับฝ่ายชายซึ่งเป็นแฟนกันว่าเย็นนี้ไม่ว่างต้องกลับไปเคลียร์งานที่บ้าน เมื่อกลับบ้านก็ทำงานจริง ๆ โดยไม่ได้เช็กข้อความในเฟซบุ๊ก ปรากฏว่าฝ่ายชายเข้าไปเล่นเฟซบุ๊กเห็นข้อความจึงเข้าใจผิดและเลิกรากับฝ่ายหญิงไป

เคสที่ 2 เกิดขึ้นกับสามีภรรยาโดยอีกฝ่ายไปกิ๊กกับอดีตแฟนเก่าที่ต่างคนต่างแต่งงานกันไปแล้ว ในตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรจึงแอดกัน แต่พอคุยไปแล้วกลับรู้สึกดี จากนั้นนัดกินข้าวกันเมื่อนัดเจอกันแล้วจึงทำให้ความสัมพันธ์เลยเถิดและเมื่ออีกฝ่ายจับได้จึงหย่าจากกันไป
 
UploadImage
   
นอกจากจะทำลายความสัมพันธ์ของชีวิตคู่รักให้สลายหายไป ยังทำให้เราเสียบุคลิกภาพและเสียคน เพราะการที่เราหมกมุ่นอยู่กับจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือนาน ๆ โดยไม่สนใจคนรอบข้างก็จะไม่ทราบว่าตัวเองแสดงกิริยาอย่างไรออกไปบ้างและเมื่อเล่นมาก ๆ ก็อาจถูกหลอกไปข่มขืนจนเสียคนได้ และสุดท้ายก็เสียโอกาสที่จะเจอคนดี ๆ ที่อยู่ในโลกของความเป็นจริง ซึ่งหากเรารู้จักใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กในแง่บวกก็จะได้ประโยชน์สูงสุด เช่น ใช้สำหรับติดต่อสื่อสารกับพ่อ แม่ พี่ น้อง และเพื่อนที่อยู่ห่างไกลหรือสามีภรรยาทำงานต่างจังหวัดก็ใช้เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้น
    
สำหรับการป้องกันแก้ไขต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อนด้วยการแบ่งเวลาว่าจะเข้าไปเล่นเวลาใด คือเปิดปิดให้เป็นเวลา แต่ถ้าบางคนบอกว่าต้องเปิดเพื่อทำงานหรือบางคนบอกว่าเล่นในมือถือต้องออนไลน์ตลอดเวลาจึงจะคุ้มกับโปรโมชั่น ซึ่ง หากเป็นเช่นนี้ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่าวันนี้เราคุยกับคนใกล้ตัวแบบสด ๆ แล้วหรือยัง หรือวันนี้เราทักทายเพื่อนแบบสด ๆ แล้วหรือยัง หรือวันนี้เราแคร์คนอื่นแล้วหรือยังและลองชั่งน้ำหนักดูว่าอย่างไหนมากกว่ากัน เพราะจะสามารถควบคุมตัวเองได้ แต่ถ้าไม่ทำก็จะไม่ทราบว่าตัวเองติดโซเชียลเน็ตเวิร์กขนาดไหนและจะแก้ไขได้อย่างไร

จากนั้นลองคำนวณเวลาว่าวันหนึ่งเล่นกี่ชั่วโมงหรือถ้ามีครอบครัวต้องเริ่มสร้างความสัมพันธ์แบบสด ๆ ในครอบครัวก่อน เช่น พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบ หลังจากนั้นจึงค่อยเล่นในเวลาส่วนตัว เพราะทุกคนต้องมีเวลาส่วนตัว ไม่ใช่ต่างคนต่างเล่น ต่างคนต่างกินข้าวก็จะทำให้เราเหงาและรู้สึกว่าคนในครอบครัวไม่เข้าใจกลายเป็นปัญหาในที่สุด
 
UploadImage
   
ดังนั้นวันนี้คุณลองถามตัวเองแล้วหรือยังว่าได้สร้างความสัมพันธ์กับพ่อ แม่ พี่ น้องและเพื่อนแบบสด ๆ จับต้องได้แล้วหรือยัง และชาวโซเชียลเน็ตเวิร์กทั้งหลายได้คนรัก ซึ่งหมายถึงลูก พ่อ แม่ ครอบครัวกลับมาแล้วหรือยัง?!?.
 
“ปัจจุบันโซเชียลเน็ตเวิร์กเข้ามาเป็นปัญหาให้ครอบครัวและคู่รักเพิ่มขึ้นในการบั่นทอนความสัมพันธ์ จนรู้สึกว่าคนใกล้กลับไกล คนไกลกลับใกล้ เพราะทำให้ทอดทิ้งคนที่อยู่ใกล้ตัว แต่ไปให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ไกลทำให้ครอบครัวไม่ค่อยได้พูดคุยกัน แต่มีเวลาไปทักทายเพื่อนใหม่ผ่านทางเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์มากขึ้น”
 

แบบทดสอบความรัก อาหารมื้อดึกบอกลักษณะคนรัก

คนที่ชอบเลือกหารอาหารที่หลงเหลือในตู้เย็นทาน แสดงว่า คุณเป็นคนที่มองหารักแท้จากคนใกล้ตัว คนที่ชอบและถูกใจมักเป้นคนสนิท อาจเป็นเพื่อนซี้ที่รู้จักกันดี หรือไม่ก็เป็นเพื่อนเก่าที่เคยรู้จักนิสัยกันมาก่อน ความรักอาจไม่สวีทหวาน แต่ก็เป็นการเริ่มต้นด้วยมิตรภาพไปสู่ความยั่งยืน
 
คนที่เลือกเดินไปซื้อขนมที่ร้านสะดวกซื้อ ที่บริการตลอด 24 ชม. แสดงว่า ความรักของคุณมักจะเกิดในบรรยากาศของการทำงาน อาจเป็นเพื่อร่วมงาน หรือคนที่คุณติดต่องานด้วย แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามความรักของคุณก็มักจะมีเรื่องหน้าที่การงานเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
 
คนที่เลือกขับรถหรือนั่งรถไปทานที่ร้านอาหาร บ่งบอกว่าคุณเป็นคนชอบการสังสรรค์ และมีความสุขเมื่อได้อยู่กับคนหมู่มาก ทำให้อาจพบรักแท้ในงานปาร์ตี้ หรืองานสังสรรค์ใหญ่เนื่องในเทศกาลสำคัญต่างๆ
 
คนที่เลือกวิธีข่มจิตข่มใจ ไม่ยอมทานอาหารแต่พยายามนอนหลับแทน บ่งบอกว่า คุณไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องความรัก เพราะคุณรู้สึกว่าบางทีความรักก็เป็นเรื่องที่วุ่นวาย ไร้สาระ คุณพร้อมที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง ปิดหัวใจแทบจะสนิท

แบบทดสอบจิตวิทยา เฉดสี บอก บุคลิกภาพ หัวใจคุณ เฉดสี อะไร


แบบทดสอบจิตวิทยานี้ จะมี เฉดสีให้เลือก อยู่ 4 แบบ ให้คุณพิจารณาเลือกแบบที่คิดว่าชอบที่สุดนะคับ ไม่ต้องคิดมาก เอาที่เห็นแล้วโดนใจ เลือกได้แล้ว ก็ค่อยเลื่อนลงไปดูเฉลยด้านล่าง
 UploadImage

.

.

.

 เลือกได้รึยังคะ

เลือกแล้วก็ไปดูเฉลยกันเลยนะ

.

.

.

.

 
แบบ A คุณมีหัวใจแห่งรัก

UploadImage ใครที่รู้จักตัวตนของคุณจะต้องรักคุณ เพราะคุณมีหัวใจที่กว้างขวางอย่างน่าอัศจรรย์
UploadImage คุณเป็นคนที่เพลิดเพลินกับเสน่ห์ หรือสิ่งดึงดูดใจต่างๆ ตราบเท่าที่มันอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง
UploadImage คุณเป็นคนมีเซนส์และหยั่งรู้ และอ่านจิตใจคนอื่นได้ดี
UploadImage คุณเป็นผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง ถ้าเพื่อนของคุณรู้สึกอย่างไร คุณก็ไม่เพียงเข้าใจ แต่จะรู้สึกเช่นนั้นด้วย
...
 
แบบ B คุณมีหัวใจแห่งอิสระ

UploadImage คุณคือคนที่มีเสน่ห์สำหรับคนหลายๆคน คุณมีความโดดเด่นและมีไหวพริบ
UploadImage คุณสามารถเข้าร่วม หรือ ออกจาก การสนทนาในสถานการณ์ใดๆ ตามแต่ใจจะปรารถนา
UploadImage คุณเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งไปยังอีกสิ่งหนึ่งได้อย่างอิสระและไม่เคยเสียใจ เพราะสำหรับคุณชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง
UploadImage คุณเดินทางอย่างคล่องตัว สำหรับคุณแล้ว ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าสัมภาระที่พะรุงพะรัง
...

แบบ C คุณมีหัวใจแห่งความสำเร็จ

UploadImage คุณเป็นผู้มีความสามารถและมีประสิทธิภาพ คุณมักพร้อมเสมอที่จะทุ่มเทต่อเป้าหมาย
UploadImage คุณคือผู้มีเป้าหมายเป็นที่ตั้ง คุณมักตั้งเป้าหมาย และ ไปถึงมันเกือบทุกครั้ง
UploadImage คุณโดดเด่น มีเสน่ห์ เป็นคนที่น่ารัก และคุณจะชอบผู้อื่นด้วยความจริงใจ
UploadImage คุณเป็นคนจริงคนหนึ่ง เมื่อเวลาสงสัยอะไร คุณเลือกที่จะรับความจริงกับคำตอบ แม้ว่าบางครั้งมันจะทำให้คุณเจ็บปวดก็ตาม

 
...

แบบ D คุณมีหัวใจแห่งความสนุกสนาน

UploadImage คุณเป็นคนที่ง่ายๆไร้กังวล เป็นคนที่มีจิตใจสุขสงบตราบเท่าที่เป็นไปได้
UploadImage ธรรมชาติพื้นฐานของคุณเป็นคนสบายๆ เพราะคิดว่าความเครียดนั้นเป็นอะไรที่ไม่คุ้มค่าเลย
UploadImage คุณมักจะช่วยแก้ไขปัญหาของผู้คน มักช่วยบอกหนทางที่เป็นไปได้จริง สำหรับการแก้ปัญหาของพวกเขา
UploadImage คุณมีพละกำลังที่มั่นคงและแน่วแน่ และเป็นคนที่มีความอดทนสูงมากกกกก
...